อีสท์สปริงหวังรัฐออกพันธบัตร ดอกเบี้ย 2-3% หนุนตลาดคึก

อีสท์สปริงหวังรัฐออกพันธบัตร ดอกเบี้ย 2-3% หนุนตลาดคึก

“ศูนย์วิจัยกสิกรไทย” ชี้ มีโอกาสรัฐบาลออกพันธบัตรไตรมาส 4/64 มูลค่า 2.73 แสนล้าน “อีสท์สปริง” เผย หวังรัฐออกพันธบัตร อายุ 10 ปี ดอกเบี้ย 2-3% ช่วยกระตุ้นการลงทุนในตลาดตราสารหนี้ไทยระยะกลาง-ยาวกลับมาคึกคัก จากคาดผลตอบแทน 6-12 เดือนข้างหน้ายังต่ำที่ 1%

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดภาครัฐมีแนวโน้มออกพันธบัตรรัฐบาลเพิ่มเติมในช่วงที่เหลือของปี 2564 นี้ เพื่อระดมทุนมาเพื่อใช้สำหรับมาตรการและโครงการช่วยเหลือเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบและประคองเศรษฐกิจในภาพรวม  ซึ่งมีความเป็นไปได้ว่า จะมีการออกพันธบัตรรัฐบาลเป็นวงเงินราว 2.73 แสนล้านบาท ซึ่งสูงกว่าวงเงินการออกพันธบัตร 2.31 แสนล้านบาท ในไตรมาสที่ 3 ปี 2564 และสูงกว่าค่าเฉลี่ยของการออกที่ผ่านมาในหลายไตรมาส

นายอดิศร เสริมชัยวงศ์ กรรมการผู้จัดการ  บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.)  ทหารไทย (TMBAM Eastspring) และบลจ. ธนชาต (Thanachart Fund Eastspring) เปิดเผยว่า  จากที่รัฐบาลมีการขยายเพดานหนี้และประกาศกู้เงินเพิ่มเติมของรัฐบาลนั้น คาดรัฐบาลจะมีการออกพันธบัตร ทำให้ปริมาณพันธบัตรเข้าสู่ตลาดมากขึ้น ซึ่งจะเป็นผลเชิงบวกต่อตลาดตราสารหนี้ไทย จากผลตอบแทนระยะกลางถึงยาวที่มีโอกาสปรับเพิ่มขึ้น ทำให้การลงทุนตราสารหนี้ไทยกลับมามีความน่าสนใจมากขึ้นจากปัจจุบัน     

ทั้งนี้ หากการลงทุนพันธบัตรรัฐบาลไทยระยะ 10 ปี สามารถให้ผลตอบแทนเฉลี่ยที่ระดับ 2-3% ซึ่งสูงกว่าระดับปัจจุบันผลตอบแทนเฉลี่ยที่ 1% ถือว่าเป็นระดับที่น่าสนใจต่อการเข้าลงทุน โดยเฉพาะนักลงทุนสถาบัน ที่ลงทุนตราสารหนี้ในระยะกลางถึงยาวเป็นหลัก 

“การขยายเพดานหนี้สาธารณะของรัฐบาลจาก 60% เป็น 70% ครั้งนี้ ยังมีขั้นตอนคุมการใช้เงินกู้ที่มีวินัยการเงินและการคลังอยู่ แต่ยังต้องติดตามว่าในสัดส่วน 10% ที่กู้เพิ่มนั้นนำไปใช้ประโยชน์อะไรบ้างที่ช่วยทำให้จีดีพีขยายตัวได้ต่อ ส่วนตัวเห็นว่า สัดส่วนใหญ่ของวงเงินดังกล่าว ควรนำมาใช้สำหรับการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่เพื่อพัฒนาประเทศ เช่น รถไฟความเร็วสูง รถไฟรางคู่ ท่าเรือเป็นหลัก” 

สำหรับแนวโน้มตลาดตราสารหนี้  นายอดิศร มองว่า ผลตอบแทนในระยะ 6-12 เดือนข้างหน้า ยังอยู่ระดับต่ำที่ 1% เนื่องจากสภาพตลาดตราสารหนี้รัฐบาลทั้งสหรัฐและไทย ผลตอบแทนยังอยู่ระดับต่ำ อายุเฉลี่ย 10ปีใกล้เคียงกันที่ 1%  หากเป็นส่วนหุ้นกู้เอกชน อายุเฉลี่ย 5 ปีและ 7 ปี เรทติ้งสูง ผลตอบแทนเฉลี่ย 2% 

ดังนั้น ด้วยผลตอบแทนตราสารหนี้ในระดับต่ำใกล้เคียงดอกเบี้ยเงินฝากที่ 1% และเมื่อเทียบกับในอดีตผลตอบแทนตราสารหนี้เฉลี่ยสูง 3-4% ทำให้ผู้ลงทุนสนใจการลงทุนในตราสารหนี้น้อยกว่าในอดีต อีกทั้งตลาดยังต้องรอความชัดเจนของเฟดทั้งกรณีทิศทางลดคิวอีและขึ้นดอกเบี้ย รวมถึงไตรมาส 3 นี้มีความเสี่ยงผิดนัดชำระหนี้ของเอเวอร์แกรนด์ในจีน ทำให้การลงทุนตราสารหนี้เอเชีย ยังต้องระวังในช่วง 2 เดือนข้างหน้านี้ แต่คาดว่าทางรัฐบาลจีนน่าจะดูแลได้ไม่ให้เกิดโดมิโนกระทบตลาดการลงทุนในภาพรวม

นายอดิศร กล่าวว่า  ในปีนี้คาดว่าจะมีมูลค่าสินทรัพย์ภายใต้การบริหาร (AUM) แตะ 4.3 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นราว 1 หมื่นล้านบาท จากปี 2563 มี AUM ราว 4.2 แสนล้านบาท ซึ่งปีนี้ยังทำได้ต่ำกว่าเป้าที่วางไว้ สาเหตุจากAUM บางช่วงลดลงตามตลาดผันผวน และลูกค้าเดิมได้ถอนเงินบ้างส่วนลูกค้าใหม่เข้ามาเติมไม่มากแต่ก็ถือว่ามีลูกค้าใหม่เพิ่มขึ้นกว่าที่คาด มีจำนวน 4-5 หมื่นราย  ในเดือนต.ค.นี้ เตรียมเปิดกองตราสารหนี้ใหม่ เน้นลงทุนหุ้นกู้แปลงสภาพในสหรัฐและยุโรป     

นอกจากนี้ ล่าสุด สามารถจ่ายคืนเงินผู้ลงทุนหลังจากปิด 4 กองทุนตราสารหนี้ครบ 100% แล้วมี AUM ราว 2 แสนล้านบาท โดยสามารถปกป้องเงินต้นได้ครบ 100% ทุกกองและยังมีผลตอบแทนส่วนเพิ่มเล็กน้อย ทั้ง 4 กองทุนไม่มีตราสารหนี้ผิดนัดชำระหนี้แต่อย่างในช่วงวิกฤติ โควิด-19