ดาวโจนส์ ร่วงในกรอบแคบ 50 จุดรอลุ้นผลประชุมเฟดช่วงกลางสัปดาห์

ดาวโจนส์ ร่วงในกรอบแคบ 50 จุดรอลุ้นผลประชุมเฟดช่วงกลางสัปดาห์

‘ดาวโจนส์’ ปิดวันอังคาร (21ก.ย.)ร่วงลง 50 จุด ขณะนักลงทุนจับตาที่ประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ(เฟด) ในช่วงกลางสัปดาห์

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ ลดลง 50.63 จุด หรือ 1.15% ปิดที่ 33,919.84 จุด ดัชนีเอสแอนด์พี 500 ลดลง 3.54 จุด หรือ 0.08% ปิดที่ 4,354.19 จุด และดัชนีแนสแด็ก เพิ่มขึ้น 32.49 จุด หรือ 0.22% ปิดที่ 14,746.40 จุด

ดัชนีดาวโจนส์ปิดร่วงลง 1.8% ช่วงเปิดตลาดวันอังคาร ซึ่งเป็นการปรับตัวลงมากที่สุดนับตั้งแต่วันที่ 19 ก.ค., ดัชนีเอสแอนด์พี 500 ดิ่งลง 1.7% โดยทรุดตัวลงมากที่สุดนับตั้งแต่วันที่ 12 พ.ค. ส่วนดัชนีแนสแด็กลบ 2.2% ท่ามกลางความวิตกว่าการผิดนัดชำระหนี้ของไชน่า เอเวอร์แกรนด์ กรุ๊ป ซึ่งเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ใหญ่อันดับ 2 ของจีน จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจทั่วโลก

นายมาร์โค โคลาโนวิช นักวิเคราะห์ของเจพีมอร์แกน ระบุว่า เขายังคงมีมุมมองในเชิงบวกต่อการลงทุนในหุ้น แม้เกิดวิกฤตหนี้ของบริษัทเอเวอร์แกรนด์

นายโคลาโนวิช กล่าวว่า การทรุดตัวของตลาดหุ้นวอลล์สตรีทเมื่อวานนี้ ท่ามกลางความวิตกเกี่ยวกับการผิดนัดชำระหนี้ของเอเวอร์แกรนด์ ถือเป็นโอกาสในการเข้าช้อนซื้อหุ้นของนักลงทุน โดยการดิ่งลงของดัชนีดาวโจนส์เกิดจากการที่ตลาดมีสภาพคล่องต่ำ และนักลงทุนเกิดความตื่นตระหนก และมีปฏิกริยาต่อข่าวเอเวอร์แกรนด์มากเกินไป
 

นอกจากนี้ นายโคลาโนเอวิชยังคาดว่า ดัชนีเอสแอนด์พี500 จะแตะระดับ 4,700 ภายในสิ้นปีนี้ โดยพุ่งขึ้น 8% จากระดับ 4,357.73 ซึ่งเป็นระดับปิดตลาดวานนี้

ทั้งนี้ ตลาดหุ้นวอลล์สตรีทยังคงมีความเสี่ยงที่จะเผชิญการปรับฐานจากปัจจัยหลายประการ ได้แก่ การผิดนัดชำระหนี้ของบริษัทเอเวอร์แกรนด์, การที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจประกาศปรับลดวงเงินในโครงการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (คิวอี) ในการประชุมเดือนนี้, การที่สภาคองเกรสอาจให้การอนุมัติการปรับขึ้นภาษีเงินได้นิติบุคคล, ความกังวลเกี่ยวกับเพดานหนี้ของรัฐบาลสหรัฐ รวมทั้งความเสี่ยงจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์เดลตา

คณะกรรมาธิการจัดสรรงบประมาณประจำสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐเปิดเผยว่า สภาผู้แทนราษฎรจะทำการอภิปรายและลงมติต่อร่างกฎหมายงบประมาณชั่วคราวในวันนี้ เพื่อสนับสนุนหน่วยงานของรัฐบาลกลางสหรัฐให้มีงบประมาณใช้จ่ายจนถึงวันที่ 3 ธ.ค. เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้หน่วยงานเหล่านี้ต้องถูกปิดการดำเนินงาน

นอกจากนี้ สภาผู้แทนราษฎรจะทำการอภิปรายและลงมติต่อการเพิ่มเพดานหนี้ของรัฐบาลสหรัฐในวันนี้เช่นกัน

นางเจเน็ต เยลเลน รัฐมนตรีคลังสหรัฐ ระบุก่อนหน้านี้ว่า เศรษฐกิจสหรัฐอาจประสบภาวะถดถอย หากสภาคองเกรสไม่รีบปรับเพิ่มเพดานหนี้ของรัฐบาล

“สภาคองเกรสต้องปรับเพิ่มเพดานหนี้ มิฉะนั้นในเดือนตุลาคม กระทรวงการคลังจะขาดดุลเงินสด และรัฐบาลจะไม่สามารถชำระหนี้ได้ ซึ่งจะทำให้เกิดหายนะทางเศรษฐกิจในวงกว้าง” นางเยลเลน กล่าว

นักลงทุนจับตาการประชุมกำหนดนโยบายการเงินของเฟดในวันนี้และพรุ่งนี้ ท่ามกลางความกังวลว่าเฟดอาจส่งสัญญาณการปรับลดวงเงิน คิวอีในการประชุมครั้งนี้

นายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟด ส่งสัญญาณก่อนหน้านี้ว่า เฟดมีแนวโน้มที่จะเริ่มปรับลดวงเงินคิวอีก่อนสิ้นปีนี้

ทั้งนี้ นายพาวเวลกล่าวว่า เศรษฐกิจสหรัฐได้มาถึงจุดที่ไม่มีความจำเป็นต้องได้รับการสนับสนุนอย่างมากจากนโยบายเฟดอีกต่อไป ซึ่งหมายความว่าเฟดมีแนวโน้มปรับลดวงเงินคิวอีก่อนสิ้นปีนี้ ตราบใดที่เศรษฐกิจยังคงมีการขยายตัว

นายวิลเลียม ดัดลีย์ อดีตประธานเฟด สาขานิวยอร์ก ระบุว่า ตลาดหุ้นทั่วโลกที่ทรุดตัวลงวานนี้ ท่ามกลางความวิตกเกี่ยวกับการผิดนัดชำระหนี้ของเอเวอร์แกรนด์ จะไม่ส่งผลให้เฟดเปลี่ยนแปลงการตัดสินใจเกี่ยวกับแผนการปรับลดวงเงินคิวอี

“เฟดจะไม่มีปฏิกริยาต่อความเคลื่อนไหวในตลาดเพียงเล็กน้อย และเฟดจะไม่เลื่อนแผนการปรับลดคิวอี” นายดัดลีย์กล่าว และคาดว่า เฟดจะส่งสัญญาณในการประชุมสัปดาห์นี้ว่า เฟดจะทำการปรับลดคิวอีในการประชุมเดือนพ.ย.

ส่วนการเปิดเผยตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐในวันนี้ กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ตัวเลขการเริ่มต้นสร้างบ้านเพิ่มขึ้น 3.9% ในเดือนส.ค. สู่ระดับ 1.615 ล้านยูนิต สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 1.555 ล้านยูนิต จากระดับ 1.554 ล้านยูนิตในเดือนก.ค. อย่างไรก็ดี การเริ่มต้นสร้างบ้านยังคงได้รับผลกระทบจากการพุ่งขึ้นของราคาวัสดุก่อสร้าง และการขาดแคลนแรงงาน