ศึกใน "พปชร.” ยกสุดท้าย แตกหัก สะบักสะบอมเข้าสนามเลือกตั้ง

ศึกใน "พปชร.” ยกสุดท้าย แตกหัก สะบักสะบอมเข้าสนามเลือกตั้ง

เวลานี้ จึงเป็นบททดสอบฝีมือของ "พล.อ.ประวิตร" อย่างแท้จริง ว่าจะทำพรรคให้เป็นสถาบันการเมือง ทุกคนรักกันได้อย่างที่พูด หรือจะแตกเละคามือ

คลื่นลมในพรรคพลังประชารัฐดูเหมือนจะสงบนิ่ง แต่ความเป็นจริงกลุ่มที่คิดก่อการกบฎล้มพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็ยังคงอยู่ดีมีสุข ด้วยเพราะมี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรค คอยปกป้อง

แม้เกมโหดของขาใหญ่ในพรรค ที่คิดเรื่องไม่ยกมือโหวตไว้วางใจให้นายกฯ ในศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจ จะแผนแตก ถูกจับได้ จนนำมาสู่การปราบกบฎด้วยการปลดกล่องดวงใจพล.อ.ประวิตร ทั้ง ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า และ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ พ้นรัฐมนตรี

เกมถอนแค้นคนชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ จึงยังอยู่ในใจขาใหญ่ และก๊วน ส.ส.เลือดแท้ ประมาณ 10 คน ที่ยังคงมีความคิดล้มกระดาน อยากให้ยุบสภา

ทำเอาบรรดา ส.ส.ส่วนใหญ่ของพลังประชารัฐ เอือมระอากับพฤติกรรมจ้องล้มล้างอำนาจรัฐบาลกันเอง แต่ก็ขยับอะไรไม่ได้มาก เมื่อขาใหญ่กลุ่มนี้มีบารมี พล.อ.ประวิตร คุ้มศีรษะอยู่

คีย์แมนหลายคนจึงเลือกซ่อนเขี้ยวเล็บ เก็บเนื้อเก็บตัว ไม่เปิดฉากรุกไล่ในช่วงที่ขาใหญ่กำลังเพลี่ยงพล้ำจากมาตรการปราบกบฎ เพราะยังเกรงใจ พล.อ.ประวิตร

ถึงอย่างนั้น ก็ประมาทไม่ได้ หากขาใหญ่ยังเดินแรง ก็ใช่ว่ากลุ่มอื่นจะยอมไปตลอด แนวรบภายในพลังประชารัฐพร้อมปะฉะดะได้ทุกเมื่อ

เงื่อนไขสำคัญคือ อายุรัฐบาลที่นับถอยหลัง จะครบเทอมอีกประมาณ 1 ปีกว่าก่อนมีการเลือกตั้งจะเป็นปัจจัยกดดันให้พรรคต้องจัดการปัญหาภายในให้สะเด็ดน้ำ ไม่เช่นนั้นย่อมสะเทือนเสถียรภาพทางอำนาจของทั้ง 3 ป. อย่างแน่นอน

เรื่องที่จะกดดันให้ พล.อ.ประวิตร ต้องตัดสินใจคือ จะเก็บ ร.อ.ธรรมนัส เป็นแม่บ้านพรรคต่อแลกกับปล่อยบางกลุ่มก๊วนในพรรคที่ไม่ยอมรับ แยกตัวออกไปจากพรรค หรือ พล.อ.ประวิตรเลือกลดบทบาท หรือถอด ร.อ.ธรรมนัส พ้นจากสมการความขัดแย้งในพรรค เพื่อง้อบางกลุ่มก๊วนให้อยู่กับพรรคต่อ

ปัญหาของคนระดับแกนนำพรรค กำลังลุกลาม กัดกร่อนความเป็นเอกภาพจนไม่เหลือชิ้นดี ลงไปสู่ระดับจังหวัด เมื่อส.ส.บางคนที่ไม่สวามิภักดิ์กับขาใหญ่ ก็เริ่มหวั่นๆ เพราะมีการยื่นคำขาดจะไม่ส่งลงเลือกตั้งครั้งต่อไป

ขณะที่แกนนำบางคนที่เป็นขั้วตรงข้ามขาใหญ่ มักอ้างตัวเป็นคนสนิท พล.อ.ประยุทธ์ ก็โชว์พาวเวอร์ข่ม ส.ส.ที่ไม่ยอมขึ้นตรงกับตัวเอง ด้วยวิธีเดียวกัน คือขู่จะไม่ส่งลงเลือกตั้งครั้งหน้า

ทั้งที่ความพร้อมสำหรับการเลือกตั้งตอนนี้ เรียกว่าพลังประชารัฐนั้นแทบจะไม่มี แต่ความพร้อมที่จะรบกันเอง ดูจะมีความพร้อมมากกว่า

เวลานี้ จึงเป็นบททดสอบฝีมือของ พล.อ.ประวิตร อย่างแท้จริง ว่าจะทำพรรคให้เป็นสถาบันการเมือง ทุกคนรักกันได้อย่างที่พูด หรือจะแตกเละคามือ

เมื่อแต่ละกลุ่มในพรรคต่างรู้ดีแก่ใจ บางคนถึงกับยอมรับว่า พลังประชารัฐวันนี้อยู่กันไม่ได้แล้วเหลือแค่ว่าฉากสุดท้ายจะจบอย่างไรแค่นั้น

ศึกในพลังประชารัฐจึงมีเค้าจะปะทุในไม่ช้า เงื่อนไขสำคัญคือ คนชื่อ ธรรมนัส ที่ยังมีบทบาทบาทคุมพรรค กำลังนำมาซึ่งการรบกันเองถึงยกสุดท้าย จนพรรคอยู่ในสภาพสะบักสะบอม เดินเข้าสนามเลือกตั้ง

ถึงตอนนั้น คงเห็นบทสรุปแล้วว่า ใครจะอยู่ใครจะไป ก๊วนไหนจะต้องหาบ้านหลังใหม่ ที่อบอุ่นและน่าอยู่กว่าบ้านหลังนี้ที่ชื่อพลังประชารัฐ