NOK เปิดงบปี 63 ขาดทุนเฉียด 8 พันล้าน เหตุโควิดกระทบธุรกิจ

NOK เปิดงบปี 63 ขาดทุนเฉียด 8 พันล้าน เหตุโควิดกระทบธุรกิจ

NOK ปี 63 ขาดทุน 7,991.24 ล้านบาท เหตุโควิดกระทบธุรกิจสายการบินต่อเนื่อง ตลาดหลักทรัพย์ฯ ขึ้นเครื่องหมาย SP เข้าข่ายอาจถูกเพิกถอน จากกรณีส่วนผู้ถือหุ้นมีค่าน้อยกว่าศูนย์

บริษัท สายการบินนกแอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ NOK เปิดเผยว่า ตามที่บริษัทฯ ได้รายงานผลประกอบการสำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 31 ธ.ค.2563 โดยขาดทุน 7,991.24 ล้านบาท ขาดทุนเพิ่มขึ้นจากปี 2562 ที่ 2,051.39 ล้านบาท โดยงบการเงินรวมของบริษัทและบริษัทย่อยมีผลขาดทุนเบ็ดเสร็จรวมสำหรับปี 2563 จำนวน 7,295.86 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นผลขาดทุนของบริษัทใหญ่จำนวน 7,895.99 ล้านบาท และผลกำไรจากส่วนที่เป็นของส่วนได้เสียที่ไม่มีอำนาจควบคุม 599.63 ล้านบาท

ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาถึงผลขาดทุนเฉพาะส่วนที่เป็นของบริษัทจำนวน 7,895.49 ล้านบาท มีการเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้นจากปีก่อนถึง 5,967.15 ล้านบาท หรือมีผลขาดทุนเพิ่มขึ้นร้อยละ 309.45 บริษัทจึงขอชี้แจงปัจจัยหลักและเหตุการณ์ที่มีผลกระทบต่อการดำเนินงานของบริษัท ดังนี้

1. สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ซึ่งส่งผลกระทบต่อเนื่องโดยตรงต่อการเดินทางทางอากาศและสถานการณ์ของสายการบินทั่วโลกทำให้จำนวนผู้โดยสารทางอากาศโดยรวมทั้งภายในและระหว่างประเทศลดลงอย่างมีนัยสำคัญ อันเนื่องมาจากการควบคุมการเดินทางเข้าออกระหว่างประเทศที่เข้มข้น และมาตราการปิดเมืองของภาครัฐในช่วงเดือนมีนาคม ถึง เดือนพฤษภาคม 2563 อันเป็นเหตุให้สายการบินนกแอร์ได้มีการยกเลิกเที่ยวบินระหว่างประเทศเป็นการชั่วคราว

อย่างไรก็ดีในช่วงระยะเวลาดังกล่าวสายการบินนกแอร์ไม่ได้ทำการหยุดการให้บริการภายในประเทศและเป็นสายการบินเดียวที่ให้บริการการบินภายในประเทศ เนื่องจากบริษัทเล็งเห็นถึงประโยชน์ต่อสังคมโดยรวมและพร้อมที่จะอยู่เคียงข้างกับลูกค้าในยามสถานการณ์ที่วิกฤตถึงแม้การให้บริการในแต่ละเที่ยวบินภายในประเทศจะส่งผลการดำเนินงานที่ขาดทุน

2. ในขณะที่ผู้โดยสารเริ่มมีการเดินทางภายในประเทศมากขึ้นในไตรมาสที่ 3 อัตราการแข่งขันในเรื่องราคาค่าตั๋วเพิ่มสูงขึ้นเช่นกัน เนื่องจากผู้ประกอบการสายการบินทุกสายการบินได้ถูกจำกัดการบินเพียงภายในประเทศ อันเป็นผลให้ราคาค่าตั๋วและอัตราส่วนการบรรทุกผู้โดยสารลดลง

3. จากการนำมาตรฐานบัญชีการรายงานงบการเงินฉบับที่ 16 เรื่องสัญญาเช่า เริ่มใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2563 ทำให้บริษัทรับรู้ผลขาดทุนที่ยังไม่เกิดขึ้นจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากบริษัทมีสัญญาเช่าระยะยาวที่เป็นเงินสกุลต่างประเทศ

4. การแจ้งเลิกกิจการของ บริษัท สายการบินนกสกู๊ด จำกัด (บริษัทย่อย) เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม 2563 อันเป็นผลทำให้บริษัทรับรู้ผลการดำเนินงานของบริษัทย่อยที่ขาดทุนต่อเนื่อง

จากรายงานงบการเงินรวมสำหรับปี 2563 บริษัทฯ มีรายได้จากการดำเนินงานรวม 6,735.39 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 66.27 จากปีก่อน โดยสาเหตุหลักมาจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ทำให้จำนวนผู้โดยสาร และจำนวนเที่ยวบินลดลงอย่างมีนัยสำคัญ สำหรับค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานของบริษัท มีจำนวนรวม 16,173.75 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อน คิดเป็นร้อยละ 29.87 ซึ่งลดลงในอัตราที่ต่ำกว่ารายได้ที่ลดลง

ทั้งนี้เนื่องจากในปี 2563 บริษัทบันทึกต้นทุนดอกเบี้ยของสิทธิการใช้เครื่องบินและพื้นที่ตามสัญญาเช่า จำนวน 607.43 ล้านบาท จากการนำมาตรฐานการรายงานทางการเงินฉบับที่ 16 เรื่องสัญญาเช่ามาใช้, บันทึกผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิด ตามมาตรฐานรายงานทางการเงินฉบับที่ 9 เป็นยอดเงินจำนวน 3,104.62 ล้านบาท และบันทึกผลขาดทุนจากการด้อยค่าของสินทรัพย์สิทธิการใช้เป็นยอดเงินจำนวน 3,496.30 ล้านบาท ส่งผลให้บริษัทฯ มีผลขาดทุนเบ็ดเสร็จ จำนวน 7,295.86 ล้านบาท

นอกจากนี้บริษัทฯ ได้รับรู้ผลขาดทุนจากการเลิกกิจการของบริษัท สายการบินนกสกู๊ต จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อย ทำให้ส่วนผลขาดทุนที่เป็นของผู้ถือหุ้นของบริษัทใหญ่เพิ่มขึ้นเป็น 7,895.49 ล้านบาท

ด้าน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ประกาศขึ้นเครื่องหมาย SP (ห้ามซื้อขายชั่วคราว) เนื่องจากอยู่ระหว่างพิจารณาว่าบริษัทเข้าข่ายอาจถูกเพิกถอนกรณีส่วนผู้ถือหุ้นมีค่าน้อยกว่าศูนย์ โดยจะพิจารณาเรื่องดังกล่าวให้แล้วเสร็จภายใน 7 วันทำการหรือภายในวันที่ 9 ก.ย.2564 รวมถึงเตรียมขึ้นเครื่องหมาย NP (รอรายงานข้อมูลเพิ่ม) วันที่ 2 ก.ย. จากที่ผู้สอบบัญชีไม่แสดงความเห็นต่องบการเงินปี 2563 ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) อาจสั่งการให้บริษัทแก้ไขงบการเงินได้