กองทุนชี้เฟดลด QE ไม่กระทบหุ้นไทย เหตุต่างชาติถือครองต่ำสุดในรอบ 10 ปี

กองทุนชี้เฟดลด QE ไม่กระทบหุ้นไทย เหตุต่างชาติถือครองต่ำสุดในรอบ 10 ปี

"บลจ.เมอร์ชั่นฯ" คาดตลาดหุ้นไทยถูกผลกระทบเฟดลดวงเงิน QE น้อย หลังนักลงทุนต่างชาติลดการถือครองเหลือ 26%-ยอด NVDR ต่ำสุดในรอบ 10 ปี ลุ้นเปิดประเทศ-เศรษฐกิจฟื้นดึงต่างชาติกลับมาลงทุน

นายประกิต สิริวัฒนเกตุ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) เมอร์ชั่น พาร์ทเนอร์ จำกัด เปิดเผยว่า สำหรับความเสี่ยงที่จะเข้ามากดดันตลาดหุ้นทั่วโลกในช่วงครึ่งหลังของปี 2564 คือการส่งสัญญาณดึงสภาพคล่องออกจากระบบ (QE Tapering) ของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) โดยคาดว่าเฟดจะหารือเกี่ยวกับการทำ QE Tapering ในการประชุมเดือน ก.ย. และคาดว่าจะเริ่มส่งสัญญาณชัดเจนภายในปี 2564 ก่อนจะเริ่มดำเนินการจริงในปี 2565 เดือนละ 1.5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ต่อเนื่องไปจนถึงสิ้นปี

อย่างไรก็ดี คาดว่าประเด็นลบดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทยน้อยมาก เพราะสถานะการถือครองหุ้นไทยของนักลงทุนต่างประเทศที่ลดลงเหลือ 26% ของมูลค่าตามราคาตลาด (มาร์เก็ตแคป) หรือประมาณ 3-4 ล้านล้านบาท ซึ่งแตกต่างจากการทำ QE Tapering รอบล่าสุดเมื่อปี 2556 (2013) ที่นักลงทุนต่างชาติถือครองหุ้นไทยประมาณ 37% หรือ 6-7 ล้านล้านบาท ส่งผลให้ตลาดหุ้นไทยถูกผลกระทบรุนแรง

ทั้งนี้ นักลงทุนต่างประเทศมียอดขายสุทธิสะสมในตลาดหุ้นไทยตั้งแต่ปี 2556 ถึงปัจจุบันประมาณ 1 ล้านล้านบาท ส่วนยอดการถือครองหุ้นไทยผ่านบัญชี NVDR ลดลงเหลือเพียง 5% ต่ำสุดในรอบ 10 ปี

สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นไทยในช่วงที่เหลือของปี 2564 คาดว่าเดือน ก.ค.ดัชนีจะกลับมาให้ผลตอบแทนเป็นบวก หลังจากปรับตัวลงในเดือน พ.ค.และ มิ.ย.สะท้อนปัจจัยลบไปแล้ว ขณะที่ข้อมูลสถิติในช่วง 10 ปีย้อนหลัง ชี้ว่าตลาดหุ้นไทยในเดือนนี้มักให้ผลตอบแทนเป็นบวกเฉลี่ย 1.6% นอกจากนี้ การรายงานกำไรของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ที่ออกมาดีจะเป็นอีกปัจจัยหนุนหนึ่งแก่ตลาดหุ้น

โดยกลยุทธ์การลงทุนแนะนำซื้อหุ้นขนาดใหญ่ใน SET50-100 ที่มีแนวโน้มกำไรแข็งแกร่ง แต่ราคาหุ้นยังปรับขึ้นช้ากว่ากลุ่มอื่น (แลกการ์ด) เช่น กลุ่มพลังงาน-ปิโตรเคมี ที่คาดว่าจะมีการบันทึกกำไรพิเศษต่อเนื่องจากราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวขึ้น และกลุ่มธนาคาร คาดว่ากำไรไตรมาส 2 ปี 2564 (เริ่มรายงานช่วงกลางเดือย ก.ค.) จะออกมาดีจากการเติบโตของสินเชื่อ รายได้ดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น และภาระการตั้งสำรองที่ลดลงเทียบช่วงเดียวกันปีก่อน

"เราคาดว่าผลบวกจากการเปิดเมืองจะมีมากกว่าผลลบจากประเด็น QE Tapering ขณะที่หุ้นไทยที่ดูแพงในตอนนี้เป็นผลจากการปรับขึ้นของหุ้นกลาง-เล็ก ซึ่งได้แรงหนุนจากการเข้ามาซื้อขายของนักลงทุนรายย่อย อย่างไรก็ดี หากประเทศไทยสามารถเปิดเมืองได้และเศรษฐกิจกลับมา หุ้น SET50-100 ที่ราคายังไม่แพงมาก จะเป็นเป้าหมายการลงทุนของนักลงทุนต่างประเทศ"