FETCO มั่นใจ 'หุ้นไทย' ขาขึ้น ผลกระจายวัคซีน-เศรษฐกิจฟื้น

นายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานกรรมการ สภาธุรกิจตลาดทุนไทย หรือ FETCO เปิดเผยว่า FETCO ยังเชื่อว่าตลาดหุ้นไทยมีทิศทางเป็นขาขึ้น และคงเป้าหมายดัชนีสิ้นปี 2564 ที่ 1,680 จุด โดยได้ปัจจัยหนุนจากพัฒนาการการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ทั่วโลกที่คาดว่าในช่วงปลายปี 2564 จะปรับขึ้นแตะ 1 หมื่นล้านคน แม้จำนวนการฉีดวัคซีนของไทยในปัจจุบันยังรั้งท้ายประเทศอื่นๆ แต่การเริ่มผลิตวัคซีนเองในประเทศและการนำเข้าวัคซีนเพิ่มขึ้นจะส่งผลให้จำนวนผู้ที่ได้รับวัคซีนต่อจากนี้มีจำนวนเพิ่มขึ้นตามด้วยเช่นกัน

อย่างไรก็ดี ระหว่างทางดัชนีอามีความเสี่ยงย่อตัวลงจากปัจจัยลบที่เข้ามากระทบ เช่น อัตราการกระจายวัคซีน การแพร่ระบาดระลอกใหม่ และการประกาศดึงสภาพคล่องออกจากระบบ (QE Tapering) ของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) แต่มองว่าความเสี่ยงที่ตลาดหุ้นจะปรับตัวลงแรงเกิดขึ้นได้ยาก เพราะมีปัจจัยหนุนจากกำไรบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ที่ยังอยู่ในขาขึ้นเช่นกัน โดยคาดว่ากำไร บจ.ปี 2564 จะเติบโต 60% จากปีก่อน และปี 2565 จะยังคงเติบโตอีก 10%

นอกจากนี้ ตลาดหุ้นยังได้ปัจจัยสนับสนุนจากเศรษฐกิจทั่วโลกที่กลับมาเติบโตเทียบเท่าช่วงก่อนเกิดโควิด-19 โดยธนาคารโลก (World Bank) คาดการณ์เศรษฐกิจโลกปี 2564 เติบโต 5.6% สูงสุดในรอบ 40 ปี และยังมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องในปี 2565 ที่ 5% ขณะที่เศรษฐกิจไทยคาดว่าปี 2564 จะยังเติบโตได้ช้ากว่าเศรษฐกิจโลก แต่คาดว่าภายหลังการท่องเที่ยวฟื้นตัวกลับคืนมาในปี 2565-2566 จะส่งผลให้เศรษฐกิจไทยเติบโตได้เต็มศักยภาพ เป็นบวกต่อการเคลื่อนไหวของตลาดหุ้น

ขณะที่ความเสี่ยงในการปรับลด QE คาดว่าส่งผลต่อตลาดหุ้นเกิดใหม่ (Emerging Markets) ไม่มาก เพราะก่อนหน้านี้เป็นกลุ่มประเทศที่นักลงทุนต่างชาติมีการถือครองค่อนข้างต่ำ อีกทั้งคาดว่าระแสเงินลงทุน (ฟันด์โฟลว์) ของนักลงทุนต่างชาติมีโอกาสกลับเข้ามาลงทุนในตลาดเกิดใหม่มากขึ้น เพราะเป็นกลุ่มที่จะเริ่มเห็นการฟื้นตัวในช่วงครึ่งหลังของปี 2564 จากครึ่งแรกของปีนี้ที่ฟันด์โฟลว์ไหลเข้าไปลงทุนในตลาดหุ้นกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว เพราะมีการกระจายวัคซีนเร็วกว่ากลุ่มประเทศกำลังพัฒนา

"ในรายละเอียดเรายังแนะนำหุ้นธีมเปิดเมือง (Reopening) ที่ได้ประโยชน์จากเป้าหมายการเปิดประเทศภายใน 120 วัน โดยโฟกัสการฟื้นตัวในปี 2565 ที่คาดว่านักท่องเที่ยวจะเริ่มเดินทางกลับมาได้มากกว่าที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ประเมินเอาไว้เพียง 10 ล้านคน โดยกลุ่มหุ้นในธีมนี้ ได้แก่ กลุ่มค้าปลีก กลุ่มธนาคารพาณิชย์ และกลุ่มโรงแรม"