TKN เล็งลุยเปิดแฟรนไชส์สตรีทฟู้ดอาหารเกาหลี 'Bomber Dog'

TKN เล็งลุยเปิดแฟรนไชส์สตรีทฟู้ดอาหารเกาหลี 'Bomber Dog'

TKNเตรียมลุยธุรกิจใหม่ แฟรนไซส์ร้านอาหารเกาหลี "บอมเบอร์ด๊อก" เหตุมาร์จิ้นสูง ขยายได้รวดเร็ว ต้นทุนต่ำ พร้อมปรับลดรายได้ปีนี้เหลือ 4.3 พันล้านจากเดิม5.2 พันล้าน เหตุโควิดระบาด

นายอิทธิพัทธ์ พีระเดชาพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เถ้าแก่น้อย ฟู๊ดแอนด์มาร์เก็ตติ้ง (TKN) เปิดเผยว่า บริษัทคาดว่าผลการดำเนินงานในครึ่งปีหลังจะดีกว่าครึ่งปีแรก คาดสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด-19 จะปรับตัวดีขึ้นทั้งในประเทศและต่างประเทศ หากมีการฉีดวัคซีนได้ตามแผน โดยบริษัทคาดว่ายอดขายที่ประเทศจีนดีขึ้นหากไม่เกิดการแพร่ระบาดรอบใหม่เกิดขึ้น และจากปรับกลยุทธ์ในการขายและเพิ่มยอดขายออนไลน์มากขึ้น 

รวมถึงบริษัทจะมีการขยายตลาดต่างประเทศที่มีศักยภาพการเติบโต เช่น ตลาดสิงคโปร์ มาเลเซีย อินโดนีเซีย และกัมพูชา  

ทั้งนี้บริษัทมีแผนที่จะออกสินค้าใหม่ทั้งสาหร่าย 2-3 รายการ และชานมเพิ่มขึ้นประมาณ 2-3 รายการ ซึ่งในส่วนของชานมปัจจุบันขายได้แล้ว 6 ล้านขวด ซึ่งคิดเป็นมูลค่าประมาณกว่า100 ล้านบาท โดยตั้งเป้าสิ้นปีนี้จะขายได้ประมาณ300-400 ล้านบาท

สำหรับในธุรกิจร้านอาหารมีแผนปิดสาขาเพิ่มในส่วนสาขาที่ไม่ทำกำไร แต่บริษัทจะหันมารุกธุรกิจใหม่ การเปิดเฟรนไซส์ร้านอาหาร Bomber Dog ซึ่งเป็นสตรีทฟู้ดเกาหลี เนื่องจากมีอัตรากำไรขั้นต้น(กรอสมาร์จิน)ที่สูง และขยายได้รวดเร็วกว่า  ลงทุนต่ำ ซึ่งจะต้องบริหารจัดการต้นทุนให้ต่ำที่สุด ส่วนสินค้าที่เกี่ยวกับกัญชงและกัญชา ขณะนี้อยู่ระหว่างการพัฒนาสินค้าร่วมกับพันธมิตร ที่ทำทั้งต้นน้ำและกลางน้ำ 

“ธุรกิจอาหารในช่วงที่ผ่านมาได้รับผลกระทบมาก จากการห้ามรับประทานในร้าน ทำให้ยอดขายลดลง70-80% ของยอดขายร้านอาหาร  ซึ่งหากครึ่งปีหลังสถานการณ์โควิด-19 ดีขึ้น และผ่อนปรนให้นั่งทานในร้านได้ เชื่อว่ายอดขายจะกลับมาดีขึ้น  และบริษัทจะมีการปรับโครงสร้างธุรกิจร้านอาหารให้เล็กลง เพื่อให้คล่องตัวมากขึ้น และหากสาขาไหนไม่ดีก็ต้องปิด”

 อย่างไรก็ตามจากผลกระทบโควิด-19 ทำให้บริษัทปรับลดเป้ารายได้ปีนี้ลง เหลือ 4,100-4,300 ล้านบาท จากเดิมที่ตั้งเป้าปีนี้จะมีรายได้ 5.2 พันล้านบาท  ซึ่งในไตรมาส1ปี 2564 บริษัท  ได้ส่งผลกระทบต่อผลการดำเนินงานในครึ่งปีแรก โดยไตรมาส 1/64 บริษัทมีรายได้931.41ล้านบาท ลดลง 17 % จากช่วงเดียวของปีก่อน มีกำไรสุทธิ 56.20 ล้านบาท ลดลง34%จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ85.67 ล้านบาท

ขณะที่กำลังการผลิตสาหร่ายคาดว่าจะมีกำลังการผลิตมากขึ้น จากไตรมาส1 ปี 2564 ใช้กำลังการผลิตเพียง38 %จาก9,600ตันต่อปี  เพราะการรวมกำลังการผลิตของโรงงานยังทำได้ไม่เต็มที่ ซึ่งหากมีการรวมเสร็จและกำลังซื้อดีขึ้น หนุนกำลังกสรผลิตเพิ่มขึ้น ส่วนวัตถุดิบสาหร่ายนั้นบริษัทได้มีการสต็อกเพียงพอรองรับการขายจนถึงสิ้นปีนี้แล้ว แต่ยังมีการสั่งซื้อกับคู่ค้าบ้างเพื่อรักษาฐานคู่ค้าไว้ และบริษัทซื้อได้ในราคาที่เหมาะสม