อ.ส.ค. ร่วม ม.เกษตรคัดจีโนมโคแม่นยำ ถึง 14.8 % ดันขึ้นแท่นผู้นำโคนมอาเซียน

อ.ส.ค. ร่วม ม.เกษตรคัดจีโนมโคแม่นยำ ถึง 14.8 %  ดันขึ้นแท่นผู้นำโคนมอาเซียน

อ.ส.ค. ร่วม กับ ม.เกษตร สานต่อความร่วมมือ ขับเคลื่อนอุตสาหกรรมโคนม เร่งดันไทยสู่ผู้นำในการผลิตน้ำนมคุณภาพพรีเมี่ยม ในภูมิภาคอาเซียนและสากล ล่าสุดสามารถพันธุกรรมจีโนมเร็วขึ้น 14.8 % ต้นทุนลดลงมูลค่า 12,580 บาทต่อตัว

นายสุชาติ   จริยาเลิศศักดิ์   รองผู้อำนวยการ ทำการแทนผู้อำนวยการองค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย (อ.ส.ค.) เปิดเผยว่า    เพื่อเร่งขับเคลื่อนอุตสาหกรรมโคนมและนมโคไทยให้มีความมั่นคงและยั่งยืน สามารถแข่งขันได้ในระดับสากล เมื่อเร็ว ๆ นี้ อ.ส.ค. และมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้ลงนามความร่วมมือทางวิชาการด้านโคนมและอุตสาหกรรม  เป็นระยะเวลา 5 ปี (ระหว่างปี พ.ศ. 2564–2569)

โดยความร่วมมือดังกล่าวมุ่งเน้นการผลิตและพัฒนาบุคลากร องค์ความรู้ และเทคโนโลยี  ตั้งเป้าประเทศไทยสู่ผู้นำในการผลิตน้ำนมคุณภาพสูง หรือ นมพรีเมี่ยม ในภูมิภาคอาเซียนและสากล

 ทั้งนี้ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์และ อ.ส.ค. ได้มีความร่วมมือทางวิชาการด้านโคนมและอุตสาหกรรมมาอย่างต่อเนื่องกว่า 15 ปี ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2549–2564  โดยระยะเริ่มต้น ในปี พ.ศ. 2549–2554 ความร่วมมือมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาศักยภาพทางพันธุกรรมและความสามารถในการให้ผลผลิตของโคนมไทย

ระยะที่สอง ปี พ.ศ. 2554–2559 เน้นเรื่องการพัฒนาระบบการประเมินความสามารถทางพันธุกรรมจีโนมของโคนม การพัฒนาการจัดเก็บและใช้ประโยชน์จากข้อมูล ทำให้ประเทศไทยเป็นประเทศแรกในภูมิภาคอาเซียนที่พัฒนาและนำเทคโนโลยีจีโนมมาใช้ในเชิงปฏิบัติเพื่อการพัฒนาโคนมของเกษตรกร

161719289652

ระยะที่สาม ปี พ.ศ. 2559–2564 ขยายขอบเขตการดำเนินงานครอบคลุมวิชาการทุกสาขาด้านโคนมและอุตสาหกรรม โดยขยายตลาดน้ำนมและน้ำเชื้อพ่อพันธุ์โคนมที่ผลิตโดยคนไทยให้ไปสู่การยอมรับและใช้ประโยชน์ในระดับสากล รวมทั้งให้ความช่วยเหลือในการพัฒนาบุคลากรและแนะนำเชิงเทคนิคในการผลิตโคนมเชิงการค้า ให้กับราชอาณาจักรภูฏานและสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา

สำหรับระยะที่สี่ ปี พ.ศ. 2564–2569 ที่ได้ลงนามความร่วมมือต่ออีกวาระหนึ่ง เป็นระยะเวลา 5 ปี ในครั้งนี้มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และ อ.ส.ค. จะมุ่งเน้นการพัฒนาบุคลากร ได้แก่ เกษตรกร ผู้ประกอบการ นักวิชาการ นิสิต และผู้สนใจ ให้มีความรู้ความเข้าใจ มีทักษะในการใช้เทคโนโลยีร่วมสมัย สามารถตัดสินใจได้อย่างแม่นยำ นำไปสู่ความเป็นผู้นำในการผลิตน้ำนมคุณภาพ หรือ นมพรีเมี่ยมในภูมิภาคอาเซียนและสากล

 

“ความสำเร็จในหลายด้าน ที่ได้รับการยอมรับจากประเทศสมาชิกของ Dairy Asia (FAO, UN) ให้ประเทศไทยเป็นผู้นำในการพัฒนาระบบการปรับปรุงพันธุ์โคนมสมัยใหม่ของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเอเชียใต้ และขอความร่วมมือทางเทคนิคระดับนานาชาติด้านการปรับปรุงพันธุ์โคนม ข้อมูลและความรู้ที่ได้ยังถูกนำไปต่อยอดในการพัฒนาและปรับปรุงพันธุ์สัตว์เศรษฐกิจชนิดอื่น พัฒนาความรู้ ความเข้าใจ และทักษะของเกษตรกร และใช้เป็นข้อมูลประกอบการพิจารณากำหนดโยบายที่เกี่ยวข้องกับสัตว์เศรษฐกิจของรัฐบาลไทย”      

นายจงรัก วัชรินทร์รัตน์  อธิการบดีมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กล่าวว่า  มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และ อ.ส.ค. มีผลงานล่าสุด คือ การพัฒนาระบบการประเมินความสามารถทางพันธุกรรมจีโนมของโคนมรายตัว ซึ่งทำให้เกิดความแม่นยำในการคัดเลือกโคนมเพิ่มขึ้น เกษตรกรได้โคนมทดแทนรุ่นใหม่ที่มีพันธุกรรมดี ตรงตามความต้องการ ทำให้ลดต้นทุนและได้ผลกำไรจากการผลิตโคนมมากยิ่งขึ้น

โดยผลงานนี้ได้รับการยอมรับให้เป็นต้นแบบของการพัฒนาโคนมในเอเชีย ขององค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) รายละเอียด  เช่น การพัฒนาระบบการประเมินความสามารถทางพันธุกรรมจีโนมของโคนมรายตัว สำหรับลักษณะที่สำคัญทางเศรษฐกิจ ที่มีความแม่นยำสูงกว่าวิธีการที่ใช้อยู่เดิม และถูกนำไปใช้ในการพิสูจน์และผลิตน้ำเชื้อพ่อพันธุ์โคนมแช่แข็งของ อ.ส.ค. เพื่อการจำหน่ายและบริการให้กับเกษตรกร

161719291950

ผลการดำเนินงานวิจัยและพัฒนาร่วมระหว่างสองหน่วยงานดังกล่าว มีผลทำให้ความแม่นยำในการคัดเลือกพ่อพันธุ์โคนมสำหรับลักษณะที่สำคัญทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น  ทำให้เกษตรกรมีโอกาสได้โคนมทดแทนรุ่นใหม่ที่มีความสามารถทางพันธุกรรมสำหรับลักษณะที่สำคัญทางเศรษฐกิจ ตรงกับที่ตนคัดเลือกได้เร็วขึ้น  14.8% (7.4 เดือน) ของระยะห่างระหว่างรุ่น (50 เดือน) คิดเป็นต้นทุนลดลงมูลค่า 12,580 บาทต่อตัว (ต้นทุนการเลี้ยงโคนมเฉลี่ย 1,700 บาทต่อเดือน)

 ได้โคนมทดแทนรุ่นใหม่มีความสามารถในการให้ผลผลิตเพิ่ม 31.54 กิโลกรัมต่อตัวปี หรือมีรายได้เพิ่ม 577.18 บาทต่อตัวต่อปี (ราคาน้ำนม 18.5 บาทต่อกิโลกรัม) ระยะเวลาในการตัดสินใจคัดเลือก (พิสูจน์) พ่อพันธุ์โคนมเพื่อการผสมเทียม (ผลิตน้ำเชื้อแช่แข็ง) จาก 73 เดือน เหลือเพียง 24 เดือน หรือเร็วกว่าเดิม 49 เดือน (ไม่จำเป็นต้องรอการพิสูจน์ลูกสาว)

และลดค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงดู 131,369 บาทต่อพ่อพันธุ์ 1 ตัว (จาก 195,713 บาท/ตัว เหลือเพียง 64,344 บาท/ตัว) มูลค่าน้ำเชื้อพ่อพันธุ์โคนมแช่แข็งที่ผลิตได้จากพ่อพันธุ์ที่ผ่านการพิสูจน์แต่ละตัว เพิ่มขึ้น 1.7 ล้านบาทต่อพ่อพันธุ์ 1 ตัว สร้างโอกาสในการแข่งขันเชิงการค้า ผลกำไร ความมั่นคงทางอาหารให้กับอาชีพการเลี้ยงโคนมได้มากขึ้น