กัญชงเพื่อเศรษฐกิจ รัฐต้องอำนวยความสะดวก

กัญชงเพื่อเศรษฐกิจ รัฐต้องอำนวยความสะดวก

วันนี้ไทยมีความพร้อมผลักดัน "กัญชง" สู่พืชเศรษฐกิจตัวใหม่มากขึ้น โดยเฉพาะในส่วนของภาคเอกชน ขณะที่ประชาชนเริ่มเข้าใจและตื่นตัว แต่ยังคงมีข้อสงสัย ดังนั้นวันนี้จึงเป็นหน้าที่ของกระทรวงสาธารณสุข กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่ต้องทำให้ความชัดเจนและตรงไปตรงมา

ข้อมูลคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ระบุ “กัญชง” ที่ได้รับการรับรองในประเทศไทยมีทั้งหมด 4 สายพันธุ์ ประกอบด้วย RPF1, RPF2 RPF3, RPF4 ซึ่งเหมาะแก่การทำเส้นใย และที่ผ่านมาเกษตรกรไทยใช้ประโยชน์โดยนำเส้นใยกัญชงมาใช้ในอุตสาหกรรมสิ่งทอ วันนี้กฎหมายเปิดกว้างให้นำกัญชงมาใช้ในอุตสาหกรรมอาหารเครื่องดื่ม เครื่องสำอาง รวมไปถึงยาและผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ในอนาคต การพัฒนาสายพันธุ์จึงนับเป็นโจทย์แรกที่ต้องดำเนินการรองรับนโยบายพืชเศรษฐกิจ เป็นโปรดักท์แชมเปี้ยนของประเทศ

โจทย์สำคัญ ต้องมีการปรับปรุงสายพันธ์ุ เพื่อให้ได้วัตถุดิบสารตั้งต้นจำเป็น ได้แก่ สาร CBD (Cannabidiol) และสาร THC (Tetrahydrocannabinol) โดยเฉพาะ CBD ที่มีประโยชน์มากกว่าโทษ เนื่องจากทั้ง 4 สายพันธุ์กัญชงดังกล่าว ยังให้สาร CBD ในปริมาณที่น้อย ไม่เพียงพอหากจะใช้ในอุตสาหกรรม โดย 4 สายพันธุ์มีปริมาณสาร CBD เฉลี่ยอยู่ที่ 0.824% สาร THC อยู่ที่ระดับ 0.3% นอกจากนี้ ชนิดของดินและระดับพื้นที่ปลูกมีส่วนสำคัญให้ได้มาซึ่งสารดังกล่าว ซึ่งการปลูกในที่ดินราบจะให้ปริมาณ CBD ที่มากกว่าพื้นที่ราบสูงที่นิยมปลุกกันในปัจจุบัน

ภาคเอกชนหรือบริษัทขนาดใหญ่ที่สนใจธุรกิจกัญชง รับทราบข้อมูลและขั้นตอนให้ได้สายพันธ์ุและผลผลิตเป็นอย่างดี แต่ด่านสำคัญไม่ว่าการขอนำเข้าและขออนุญาตปลูก คือ อย. หน่วยงานของรัฐที่ทำหน้าที่ตรวจสอบและอนุญาต ซึ่ง นพ.ไพศาล ดั่นคุ้ม เลขาธิการ ยืนยันว่า อย.ทำหน้าที่กำกับดูแลตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำ นับตั้งแต่วันที่ 29 ม.ค.64 ที่กฎกระทรวงกัญชงมีผลบังคับใช้ ปลูกมีผู้มายื่นขออนุญาตปลูกทั้งสิ้น 18 ราย ยังไม่มีรายใดที่ได้รับอนุญาต เช่นเดียวกับการนำเข้าเมล็ดพันธุ์ที่ปัจจุบันมี 7 ราย เป็นผู้มีคุณสมบัตินำเข้า แต่ยังไม่มีใครได้รับใบอนุญาตนำเข้า

เราเห็นว่าวันนี้ประเทศไทยมีความพร้อมมากขึ้นในส่วนของภาคเอกชนและองค์กรอื่นที่ไม่ใช่ภาครัฐ รวมถึงประชาชนเริ่มมีความรู้ความเข้าใจและตื่นตัวเป็นอย่างมาก เห็นได้จากการที่มีผู้คนแห่เข้าร่วมอีเวนท์หลายครั้งที่ผ่านมา ทว่าในขั้นตอนการดำเนินธุรกิจหรือเพาะปลูกซึ่งอยู่ในอำนาจของหน่วยงานรัฐรวมถึง อย. ยังมีคำถามที่หลายฝ่ายสะท้อนออกมา ส่วนใหญ่ในชิงลบถึงขั้นตอน ความยุ่งยากและความล่าช้า รัฐมนตรีที่รับผิดชอบ ไม่ว่ากระทรวงสาธารณสุข หรือกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ต้องมีความชัดเจน สื่อสารให้คนไทยรับรู้เท่าเทียมกัน 

เราเห็นว่า ในวันที่ทุกภาคส่วนขยับ ยิ่งสถานศึกษารุดหน้าไปมาก รัฐมนตรีทั้ง 2 กระทรวงต้องดำเนินการมอบหมายให้ข้าราชการในกระทรวงและกรมกองที่รับผิดชอบ ทำหน้าที่ตรงไปตรงมาเพื่อส่วนรวม อย่าให้เกิดความระแวงสงสัยในผลประโยชน์ส่วนตนหรือพวกพ้อง อย่าทำให้ประเทศเสียโอกาสซ้ำรอยในอดีต จะเป็นเรื่องน่าเสียดายอย่างยิ่ง หากติดขัดปัญหาจากข้าราชการในรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ผู้ซึ่งกำลังได้รับความนิยม ในโครงการแจกเงินเยียวยาโควิด อยู่ในขณะนี้