มือใหม่ลงทุนกับ 'กองทุน ETF'

มือใหม่ลงทุนกับ 'กองทุน ETF'

ทำความรู้จัก "กองทุน ETF" (Exchange Traded Fund) ที่ซื้อขายกันอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ ผ่านตลาดหุ้นได้แบบ Real Time และนับเป็นเครื่องมือพื้นฐานที่เหมาะกับผู้ที่เริ่มสนใจลงทุนนอกเหนือจากหุ้นและกองทุนรวมทั่วไป

ผู้ลงทุนที่เป็นมือใหม่หรือไม่มีเวลาในการลงทุนมากนัก มักนิยมการลงทุนผ่านกองทุนรวม ด้วยข้อดีหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่การลงทุนในกองทุนรวมช่วยการกระจายการลงทุน ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงของผู้ลงทุนได้ ใช้เงินลงทุนไม่มากนัก โดยหลายกองทุนในปัจจุบันไม่กำหนดเงินขั้นต่ำหรือสามารถซื้อได้ตั้งแต่ 1 บาท ลงทุนได้หลากหลาย ตั้งแต่กองทุนตราสารหนี้ กองทุนหุ้น หรือกองทุนต่างประเทศ ตามความเสี่ยงที่แต่ละคนรับได้ รวมทั้งยังมีมืออาชีพหรือผู้จัดการกองทุนมาช่วยดูแลบริหารจัดการให้ ซึ่งสะดวกสำหรับมือใหม่หรือผู้ที่ไม่มีเวลาติดตามจะต้องมาพิจารณาลงทุนเอง

อย่างไรก็ตาม หลายท่านอาจไม่ทราบว่านอกจากกองทุนรวมที่เราซื้อขายกันเป็นปกติผ่านตัวแทนขาย หรือบริษัทจัดการลงทุนแล้ว ยังมีกองทุนอีกประเภทหนึ่งที่น่าสนใจอย่างมาก ซึ่งเรียกว่า “กองทุน ETF หรือ Exchange Traded Fund” ที่ซื้อขายกันอยู่ในตลาดหลักทรัพย์

ETF หรือกองทุนอีทีเอฟนั้น พูดง่ายๆ เหมือนเป็นลูกผสม ที่ดึงเอาลักษณะเด่นของหุ้นและกองทุนรวมมาไว้ด้วยกัน กล่าวคือ ETF เป็นกองทุนรวมซึ่งสามารถกำหนดนโยบายลงทุนได้ในสินทรัพย์ที่หลากหลาย และอ้างอิงกับดัชนีได้หลายประเภท เช่น ดัชนีราคาหุ้นในประเทศ/ต่างประเทศ ดัชนีราคาสินค้าโภคภัณฑ์ ดัชนีราคาทองคำ และดัชนีราคาตราสารหนี้ เป็นต้น

ดังนั้น ETF จึงมีข้อดีต่างๆ ในลักษณะเดียวกับกองทุนดังที่กล่าวไปข้างต้น แต่การที่ ETF จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ผู้ลงทุนจึงสามารถซื้อขาย ETF ผ่านตลาดหุ้นได้แบบ Real Time เช่นเดียวกับการซื้อขายหุ้น ทำให้มีความคล่องตัวมากกว่ากองทุนรวมทั่วไปที่ผู้ลงทุนต้องส่งคำสั่งซื้อขายก่อน แล้วจึงจะทราบราคาซื้อขายช่วงสิ้นวันทำการ (ซึ่งก็คือราคาสินทรัพย์สุทธิต่อหน่วยหรือ NAV)

ยกตัวอย่างเช่น หากต้องการลงทุนในกองทุนที่สร้างผลตอบแทนแบบ SET50 Index ผู้ลงทุนก็สามารถซื้อกองทุน Passive Fund ที่ลงทุนตาม SET50 Index ได้ด้วยราคา NAV ณ สิ้นวัน หรืออาจเลือกซื้อกองทุน ETF ในตลาดหลักทรัพย์ฯ ก็ได้ ซึ่งกรณีหลังนี้ เมื่อดัชนีปรับตัวมาถึงระดับที่ต้องการซื้อในช่วงระหว่างวัน ผู้ลงทุนก็สามารถซื้อ ETF ที่อ้างอิงกับ SET50 Index ที่ระดับราคาดังกล่าวได้เลย

สำหรับการซื้อขายกองทุน ETF นั้น ผู้ลงทุนยังสามารถซื้อขายโดยใช้บัญชีหลักทรัพย์ที่มีอยู่ได้ โดยในระหว่างวัน ผู้ลงทุนสามารถติดตามข้อมูลการเคลื่อนไหวของราคาสินทรัพย์สุทธิได้ตลอดช่วงการซื้อขายที่เรียกว่า iNAV (indicative NAV) ต่อหน่วย ได้จากเว็บไซต์ของบริษัทจัดการลงทุน ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะช่วยให้ผู้ลงทุนทราบว่าราคาที่ควรจะเสนอซื้อขายควรเป็นเท่าไร

นอกจากนี้ เพื่อให้ผู้ลงทุนมั่นใจในการเข้ามาซื้อขายกองทุน ETF มากขึ้น จึงได้มีการกำหนดให้กองทุน ETF จะต้องมีผู้ดูแลสภาพคล่อง (Market Maker) ทำหน้าที่เสนอราคาทั้งด้านซื้อและด้านขายตลอดช่วงเวลาทำการด้วย ทั้งนี้ ผลตอบแทนจากการลงทุนใน ETF จะได้รับสิทธิพิเศษทางภาษีในลักษณะเดียวกับหุ้นและกองทุนรวม กล่าวคือ กำไรจากการซื้อขาย (Capital Gain) ได้รับการยกเว้นภาษี ขณะที่เงินปันผลจะถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย 10%

กองทุน ETF ส่วนมากจะลงทุนตามดัชนีซึ่งประกอบด้วยหลักทรัพย์หลายๆ หลักทรัพย์ ทำให้การลงทุนใน ETF เป็นการกระจายความเสี่ยงไปในตัวและอาจไม่ต้องใช้เงินลงทุนในจำนวนมากเท่ากับการลงทุนเองในหลักทรัพย์ทั้งหมดที่เป็นองค์ประกอบของดัชนี นอกจากนี้ กองทุน ETF ยังสามารถอ้างอิงหรือลงทุนตามสินทรัพย์ได้หลากหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็น ตราสารหนี้ หุ้น หรือหุ้นต่างประเทศ ซึ่งผู้ลงทุนอาจใช้กองทุน ETF เป็นทางเลือกประกอบการจัดพอร์ตลงทุนของตนเพื่อให้บรรลุเป้าหมายทางการเงินที่ต้องการได้

ปัจจุบัน ในประเทศไทยมี ETF ทั้งหมด 12 ตัว มูลค่าทรัพย์สินรวมราว 17,400 ล้านบาท อ้างอิงกับสินทรัพย์หลายประเภท ทั้งหุ้นไทย หุ้นต่างประเทศ ตราสารหนี้ และทองคำ จาก 5 บลจ. โดย ETF ตราสารหนี้เป็นกองทุนที่มีขนาดใหญ่ที่สุด (ABFTH) ส่วน ETF ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด คือ กองทุนอ้างอิงดัชนี SET50 (TDEX) ทั้งนี้ ETF ทุกตัวจะมีการเคลื่อนไหวของราคาขั้นต่ำหรือ Tick Size ที่ 1 สตางค์ เพื่อให้ราคาของ ETF สามารถสะท้อนมูลค่าได้ใกล้เคียงกับ Underlying ที่สุด และมีขนาดการส่งคำสั่งขั้นต่ำหรือ Lot Size ที่ 100 หน่วย ซึ่งทำให้แม้เงินน้อยก็สามารถลงทุนได้

จะเห็นว่า ETF เป็นเครื่องมือพื้นฐานที่เหมาะกับผู้ที่เริ่มสนใจลงทุนนอกเหนือจากหุ้นและกองทุนรวมทั่วไป โดยข้อมูลเกี่ยวกับกองทุน ETF นั้นสามารถศึกษาได้จากหนังสือชี้ชวนจากเว็บไซต์ของสำนักงาน ก.ล.ต. บลจ. ผู้ออก ETF และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย