การเงิน
SKE - IPO 1.80 บาท
SKE ผู้ประกอบธุรกิจสถานีอัดก๊าซธรรมชาติหลักเอกชน
บริษัท สากล เอนเนอยี จำกัด (มหาชน)(SKE)ประกอบธุรกิจสถานีก๊าซธรรมชาติหลักเอกชนโดยให้บริการอัดก๊าซธรรมชาติ NGVให้รถขนส่งก๊าซธรรมชาติของบริษัท ปตท. จำกัด มหาชน(PTT) เพื่อขนส่งไปให้สถานีบริการ NGV นอกแนวท่อส่งก๊าซ หรือสถานีลูกรวมถึงการดำเนินการปรับปรุงคุณภาพก๊าซธรรมชาติ เพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐานที่กฎหมายกำหนด ฝ่ายวิจัยประเมินราคาเหมาะสมอยู่ที่ราว 2.44 บาทสำหรับปี 61
ประเด็นสำคัญในการลงทุน
- หนึ่งในผู้นำของสถานีอัดก๊าซธรรมชาติหลักเอกชน : บมจ.สากล เอนเนอยี (SKE) ให้บริการสถานีอัดก๊าซธรรมชาติที่มีสัญญากับปตท. จำนวนสถานีของบริษัทคิดเป็น50% ของจำนวน PMS ทั้งหมดที่ปตท.ให้บริษัทเอกชนเข้าประมูลงาน บริษัทมีสัญญาระยะยาวมีปริมาณอัดก๊าซธรรมชาติขั้นต่ำรวม 2 สถานีเท่ากับ 520 ตันต่อวันทำให้รายได้มีความมั่นคงจากการประกันรายได้ขั้นต่ำตามสัญญา และไม่มีคู่แข่งโดยตรง ในช่วงปี 2557 – 2559 รายได้ของบริษัทเติบโตต่อเนื่องโดยมีอัตราเติบโตเฉลี่ยเท่ากับ 64% ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2560 บริษัทมีรายได้จากการให้บริการลดลง 19%YoY เหลือ 151 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 38 ล้านบาท ลดลง 43%YoY เนื่องจากรายได้จากการปรับปรุงคุณภาพลดลง ปริมาณการอัดก๊าซลดลง และอัตราค่าบริการอัดก๊าซลดลง ซึ่งเป็นผลกระทบที่เกิดจากราคาน้ำมันปรับตัวลดลงตั้งแต่ต้นปี 2559 ทำให้ปริมาณการใช้ก๊าซ NGV ลดลง รถใหม่ส่วนบุคคลไม่ติดตั้งระบบใช้ก๊าซ NGV และบางคันที่ติดตั้งระบบใช้ก๊าซ NGV ก็เลิกใช้อย่างไรก็ดี ในอนาคตบริษัทมีแผยขยายธุรกิจไปยังธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการอัดก๊าซธรรมชาติทำให้มีรูปแบบสถานีบริการที่หลากหลายมากขึ้น และเป็นการขยายฐานลูกค้าให้มากขึ้นช่วยรักษาศักยภาพในการเติบโตของรายได้และกำไรให้กับบริษัท
- คาดกำไรสุทธิปี 2560-2562 มี CAGR ราว 46%:ฝ่ายวิจัยคาดการณ์รายได้จากการให้บริการในปี 2560 จะหดตัวราว 17% จาก 386 ล้านบาทในปี 59 เหลือ 319 ล้านบาท และคาดว่ากำไรสุทธิปี 60 จะอยู่ที่ราว 81 ล้านบาท หดตัว 36%YoYสำหรับปี 2561 คาดว่ารายได้จะพลิกเติบโต 21% เป็น 385 ล้านบาทจากปัจจัยสนับสนุนหลักเรื่องจำนวนช่องจ่ายที่สถานีสระบุรีที่เพิ่มขึ้น 8 ช่องจ่ายหรือเพิ่มขึ้น 40% โดยประมาณการกำไรสุทธิปี 61 อยู่ที่ราว 104 ล้านบาท เติบโต 28% และในปี 2562 ซึ่งคาดว่าจะเริ่มดำเนินการสถานีก๊าซธรรมชาติ NGV ที่จ.นครสวรรค์ คาดรายได้เติบโตต่อเนื่องราว 11% เป็น 429 ล้านบาท และคาดว่ากำไรสุทธิจะอยู่ที่ราว 111 ล้านบาทเติบโต 7% ซึ่งแสดงถึงอัตราการเติบโตเฉลี่ยของกำไรสุทธิ (CAGR) ระหว่างปี 2560 – 2562 ราว 46%
- การประเมินมูลค่าหุ้น:ฝ่ายวิจัยประเมินมูลค่าหุ้นด้วยวิธี DCF ซึ่งครอบคลุมอายุสัญญาที่จะสิ้นสุดในปี 2573 โดยใช้ WACC ที่ระดับ 8.4% ได้ราคาเหมาะสมเท่ากับ 2.44 บาท