วอร์เรน บัฟเฟตต์ เผย ไม่ต้องเรียนจบ ม.ดัง ก็เป็น CEO ยอดเยี่ยมได้

"ผมไม่เคยสนใจว่าใครจบจากที่ไหน" วอร์เรน บัฟเฟตต์ เผย ผู้นำหรือ CEO ที่ยอดเยี่ยมหลายคน ไม่จำเป็นต้องเรียนจบมหาวิทยาลัยชื่อดังหรือแม้แต่ไม่ได้เรียนจบมหาวิทยาลัยเลยก็มี
KEY
POINTS
- วอร์เรน บัฟเฟตต์ มหาเศรษฐีผู้เป็นซีอีโอบริษัท Berkshire Hathaway ยอมรับว่า เขาไม่เคยดูว่าผู้สมัครตำแหน่งซีอีโอจบจากที่ไหน เพราะเชื่อว่าพรสวรรค์และประสบการณ์ในการทำธุรกิจสำคัญกว่าการเรียนจบจากมหาวิทยาลัยชั้นนำ
- บัฟเฟตต์ยังให้คุณค่ากับการศึกษาและการเรียนรู้ตลอดชีวิต แต่เชื่อว่ามหาวิทยาลัยไม่ใช่เส้นทางเดียวสู่ความสำเร็จ และไม่เหมาะกับทุกคน ลูกทั้งสามของเขาเองก็ไม่มีใครเรียนจบมหาวิทยาลัย
- การสำรวจล่าสุดพบว่าเกือบครึ่งของคนอเมริกันคิดว่าปริญญาตรีมีความสำคัญน้อยลงในการได้งานที่มีเงินเดือนสูง น้อยกว่า 12% ของซีอีโอในบริษัทฟอร์จูน 100 ที่จบจากมหาวิทยาลัยไอวี่ลีก ซึ่งสอดคล้องกับมุมมองของบัฟเฟตต์
หากคุณเป็นเจ้าของบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านการเงินการลงทุนแห่งหนึ่ง และกำลังเปิดรับสมัครงานตำแหน่ง "ซีอีโอ" เพื่อให้มาทำงานในฐานะผู้บริหารองค์กร คุณจะคัดเลือกผู้สมัครจากคุณสมบัติอะไรบ้าง? แน่นอนว่าคุณสมบัติสำคัญที่ไม่พิจารณาไม่ได้ก็คือ ความสามารถ, ผลงาน, ประสบการณ์การทำงาน และอาจรวมถึงสถาบันการศึกษาของผู้สมัครคนนั้นๆ ว่าเรียนจบจากไหน? ได้เกียรตินิยมไหม?
แต่สำหรับ 'วอร์เรน บัฟเฟตต์' ซีอีโอของเบิร์กไชร์ ฮาธาเวย์ เขาเป็นเจ้าของบริษัทที่ไม่สนเลยว่า ผู้สมัครงานตำแหน่ง CEO จะเรียนจบจากมหาวิทยาลัยไหน หากมีความสามารถเหมาะสมก็เป็นผู้บริหารบริษัทใหญ่ได้เช่นกัน
ซีอีโอที่ยอดเยี่ยมไม่จำเป็นต้องเรียนจบจาก Ivy League เสมอไป
บัฟเฟตต์ เขียนในจดหมายถึงผู้ถือหุ้นประจำปีล่าสุดไว้ว่า เมื่อต้องหาซีอีโอมาบริหารบริษัทในเครือ Berkshire Hathaway อย่าง "ไจโก้" (บริษัทประกันยักษ์ใหญ่) หรือ "แดรี่ควีน" (ร้านฟาสต์ฟู้ด) เขาไม่เคยแม้แต่จะชำเลืองดูว่าผู้สมัครจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยไหน เพราะจากประสบการณ์ของเขา พรสวรรค์และประสบการณ์ในการทำธุรกิจ มักจะเหนือกว่าการเรียนจบจากมหาวิทยาลัยชั้นนำอย่างไอวีลีก (Ivy League)
"ผมไม่เคยดูเลยว่าผู้สมัครตำแหน่งซีอีโอจบจากที่ไหน ไม่เคยจริงๆ แม้ทุกวันนี้จะมีผู้จัดการเก่งๆ มากมายที่จบจากมหาวิทยาลัยชื่อดัง แต่ก็มีคนเก่งอีกเยอะที่เรียนจบจากสถาบันที่มีชื่อเสียงน้อยกว่า หรือแม้แต่ไม่ได้เรียนจบมหาวิทยาลัยเลยก็มี" บัฟเฟตต์วัย 94 ปีเขียนในจดหมายผู้ถือหุ้นประจำปี
บัฟเฟตต์ ผู้ซึ่งจบปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยเนบราสกา และปริญญาโทจากมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย บอกผ่านจดหมายดังกล่าวอีกว่า มุมมองของเขาเปลี่ยนไปหลังจากที่ได้เห็นผู้นำคนเก่งๆ หลายคน ประสบความสำเร็จโดยไม่มีปริญญาจากไอวีลีก โดยคนเหล่านั้นมีตั้งแต่เพื่อนร่วมงานของเขาที่เบิร์กไชร์ ฮาธาเวย์ เพื่อนๆ ในแวดวงธุรกิจอื่น ไปจนถึง "บิล เกตส์" เพื่อนซี้อีกคนของบัฟเฟตต์ ที่เป็นผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทเทคฯ ชื่อดังระดับโลกอย่าง ไมโครซอฟท์ แม้จะดรอปเรียนจากฮาร์วาร์ด
"ผมไม่คิดว่ามหาวิทยาลัยเหมาะกับทุกคน ลูกทั้งสามคนของผมไม่มีใครเรียนจบมหาวิทยาลัย จริงอยู่ที่การศึกษาที่ดีที่สุดคือการลงทุนในตัวเอง แต่มันไม่ได้หมายถึงการต้องเรียนจบวิทยาลัยหรือมหาวิทยาลัยเสมอไป" บัฟเฟตต์บอกกับนักศึกษาของวิทยาลัยธุรกิจไอวีย์ แห่งมหาวิทยาลัยเวสเทิร์นในปี 2012
บัฟเฟตต์ให้ความสำคัญกับการเรียนรู้ แต่ไม่ได้จำกัดว่าต้องเป็นรูปแบบไหน
อย่าเพิ่งเข้าใจผิดว่าบัฟเฟตต์สนับสนุนให้ผู้คนไม่เข้าเรียนต่อในมหาวิทยาลัย แต่จริงๆ แล้ว มหาเศรษฐีคนนี้ให้คุณค่ากับการศึกษา เพียงแค่เขาไม่เลือกว่าต้องมาในรูปแบบไหน
"ผมเชื่อมั่นในการเรียนรู้ตลอดชีวิต แต่ผมสังเกตเห็นว่า พรสวรรค์ทางธุรกิจส่วนใหญ่เป็นสิ่งที่ติดตัวมาแต่กำเนิด ธรรมชาติมักเหนือกว่าการบ่มเพาะ" เขาย้ำ
ย้อนกลับไปในสมัยเรียน บัฟเฟตต์ เคยคิดจะลาออกจากมหาวิทยาลัยเหมือนกัน ซึ่งถ้าหากเขาเป็นเด็กจบใหม่ในยุคนี้ เขาอาจกลายเป็นผู้นำเทรนด์ในวงการจ้างงานและวัฒนธรรมการทำงานไปแล้ว เนื่องจากมีผลสำรวจของศูนย์วิจัย PEW ที่เผยแพร่เมื่อปีที่แล้วระบุว่า คนอเมริกันเกือบครึ่งหนึ่ง (50%) คิดว่าปริญญาตรี 4 ปี มีความสำคัญน้อยลงในแง่ของการเป็นใบเบิกทางให้ได้งานที่มีเงินเดือนสูง เมื่อเทียบกับ 20 ปีก่อน
นอกจากนี้ในจดหมายของเขา บัฟเฟตต์ได้เขียนยกย่องถึง เบน รอสเนอร์ อดีตผู้บริหารของเบิร์กไชร์ ฮาธาเวย์ ที่ขายธุรกิจค้าปลีกเสื้อผ้าให้กับบัฟเฟตต์ในปี 1967 ตามรายงานของวอชิงตันโพสต์ โดยเขามองว่ารอสเนอร์เป็นอัจฉริยะด้านการค้าปลีกเลยทีเดียว แม้จะเรียนจบแค่ชั้นประถม 6 เท่านั้น
ประสบการณ์คือคุณค่าที่แท้จริง ไม่ใช่ชื่อเสียงของใบปริญญา
มีข้อมูลพบว่า โดยเฉลี่ยแล้วบัณฑิตระดับปริญญาตรีมักมีรายได้สูงกว่าชาวอเมริกันทั่วไป แต่อย่างไรก็ตาม มีซีอีโอของบริษัท Fortune 100 (ในปี 2023) ไม่ถึง 12% ที่จบปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยในกลุ่ม Ivy League และมีไม่ถึง 10% ที่สำเร็จการศึกษา MBA จากสถาบันเหล่านั้น
ยกตัวอย่างเช่น เกรก อาเบล รองประธานของบริษัทเบิร์กไชร์ ฮาธาเวย์ ผู้บริหารฝ่ายงานที่ไม่ใช่ประกันภัย (ผู้รอสืบทอดตำแหน่งของบัฟเฟตต์) ก็ไม่ได้จบจากไอวีลีก แต่จบจากมหาวิทยาลัยแอลเบอร์ตา แต่ก็ได้เป็นถึงระดับรองประธานฯ
นักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จบางคนก็เห็นด้วยกับบัฟเฟตต์ในประเด็นของใบปริญญา นั่นคือ 'มาร์ค คิวบาน' มหาเศรษฐีผู้ก่อตั้งธุรกิจหลายแห่ง เขาให้สัมภาษณ์กับ Jules Terpak ช่องโซเชียลมีเดียชื่อดังเมื่อปีที่แล้วไว้ว่า ทุกคนควรลองเรียนมหาวิทยาลัย แต่คุณค่าที่แท้จริงคือประสบการณ์ ไม่ใช่ชื่อเสียงของปริญญาจาก ม.ดัง คุณค่าของการเรียนมหาวิทยาลัยอยู่ที่มันทำให้คุณได้เรียนรู้ภาษาของธุรกิจ หากคุณอยากก่อตั้งบริษัท
แม้แต่ บิล เกตส์ ที่มีชื่อเสียงจากการเริ่มทำบริษัทเทคฯ แทนที่จะเรียนให้จบ ก็ยังเห็นด้วยในเรื่องนี้ เขาบอกว่า ตัวเขาไม่ได้สนับสนุนให้คนลาออกจากมหาวิทยาลัย เขาเชื่อว่าการมีความรู้รอบด้านเป็นเรื่องสำคัญมาก และกรณีที่ต้องออกจากมหาวิทยาลัยกลางคันเพื่อทำอย่างอื่นนั้นเป็นข้อยกเว้นจริงๆ ซึ่งไม่ได้เกิดขึ้นบ่อย ดังนั้นการเรียนรู้อยู่เสมอเป็นสิ่งสำคัญ แม้ไม่มีปริญญาก็ตาม
อ้างอิง: CNBC, Ivey MBA, PEW Research, CNBC Market