เปิดฉากเบิกม่าน “เทศกาลภาพยนตร์นานาชาติเมืองเวนิส” ครั้งที่ 79

เปิดฉากเบิกม่าน “เทศกาลภาพยนตร์นานาชาติเมืองเวนิส” ครั้งที่ 79

“เทศกาลภาพยนตร์เวนิส” เปิดม่านอย่างยิ่งใหญ่ด้วยการมอบรางวัลสิงโตทองคำเกียรติยศให้ แคทรีน เดอเนิฟ ดาวค้างฟ้าชาวฝรั่งเศส โดยมี White Noise นำแสดงโดย อดัม ไดรเวอร์ และ เกรตา เกรวิก เป็นหนังฉายเปิดเทศกาล และแฟชั่นพรมแดงสุดจี๊ดของ ทิโมธี ชาลาเมต์ เป็นสีสันของงาน

เทศกาลภาพยนตร์นานาชาติเมืองเวนิส น่าจะเป็นเทศกาลยักษ์ใหญ่ในยุโรปเพียงเทศกาลเดียวที่สามารถยืนหยัดจัดฉายหนังตามกำหนดเดิมในเดือนสิงหาคม-กันยายน ของทุกปีได้ แม้แต่ในช่วงปี 2020-2021 ที่โควิด-19 แพร่ระบาดไปทั่วโลกอย่างหนักหน่วงที่สุด ด้วยการเพิ่มโรงฉาย จัดที่นั่งแบบเว้นระยะ และกำหนดให้ผู้เข้าร่วมงานจะต้องผ่านการตรวจ ATK ให้มั่นใจว่าไร้เชื้อ และให้สวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา ซึ่งก็ไม่น่าเชื่อที่ เทศกาลเมื่อปี 2020 และ 2021 จะผ่านพ้นไปได้ โดยไม่มีคลัสเตอร์เทศกาลเวนิสเกิดขึ้น

มาถึงปีนี้ที่สถานการณ์เริ่มคลี่คลาย มาตรการทุกอย่างก็ผ่อนปรนจนทุกอย่างเริ่มง่าย ‘กัลปพฤกษ์’ จึงได้โอกาสกลับไปเยือนเทศกาลนี้อีกครั้ง หลังจากห่างหายไปถึง 2 ปี ซึ่งงานเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติเมืองเวนิส ครั้งที่ 79 ประจำปี 2022 นี้ ก็จัดขึ้นระหว่างวันที่ 31 สิงหาคม – 10 กันยายน 2022 และได้เริ่มเปิดงานไปอย่างเอิกเกริกเมื่อปลายเดือนสิงหาคมที่ผ่านมาเรียบร้อยแล้ว

 

เปิดฉากเบิกม่าน “เทศกาลภาพยนตร์นานาชาติเมืองเวนิส” ครั้งที่ 79

สำหรับงานพิธีเปิดประจำปีนี้ มีโอกาสพิเศษเกิดขึ้นสองรายการด้วยกัน อันแรกเป็นข่าวที่น่ายินดี เนื่องจากทางเทศกาลมีมติมอบรางวัลสิงโตทองคำเกียรติยศตลอดชั่วชีวิตการทำงานในฐานะนักแสดงให้แก่ดาวอมตะชาวฝรั่งเศส Catherine Deneuve ซึ่งมีหนังที่เธอแสดงร่วมฉายในเทศกาลเวนิสมาแล้วจำนวนนับไม่ถ้วน

 

Catherine Deneuve ขึ้นเวทีรับรางวัลนี้อย่างแจ่มใสยิ้มแย้ม กล่าวขอบคุณเทศกาลที่ให้เกียรติอย่างสูงกับเธอ พร้อมทั้งบอกว่าเธอผูกพันกับเทศกาลนี้ ตั้งแต่เธอได้เล่นหนังเหนือจริงคลาสสิกเรื่อง Belle de jour (1967) ของผู้กำกับ Luis Bunuel ซึ่งเคยเข้าประกวดและคว้ารางวัลสิงโตทองคำไปได้ โดยหลังจากนั้น Catherine Deneuve ก็ยังคว้ารางวัลนักแสดงหญิงยอดเยี่ยมจากการแสดงของเธอในหนังเรื่อง Place Vendome (1998) ของผู้กำกับ Nicole Garcia ด้วย

 

เปิดฉากเบิกม่าน “เทศกาลภาพยนตร์นานาชาติเมืองเวนิส” ครั้งที่ 79 เปิดฉากเบิกม่าน “เทศกาลภาพยนตร์นานาชาติเมืองเวนิส” ครั้งที่ 79

Credit : Marco BERTORELLO / AFP

 

ส่วนโอกาสพิเศษที่สอง เป็นเรื่องเซอร์ไพรส์ที่ไม่มีใครรู้มาก่อน เมื่อประธานาธิบดีแห่งยูเครน Volodymyr Zelensky ได้ต่อสัญญาณไลฟ์สายตรงมายังผู้ร่วมงานที่เทศกาลเวนิสทุก ๆ ท่าน เพื่อกล่าวประณามการใช้กำลังทหารของรัสเซียเข้าโจมตีประเทศยูเครนอย่างโหดเหี้ยม

 

โดยเขาได้แสดงคลิปรายชื่อของเด็กและเยาวชนนับร้อย ๆ คนที่ถูกกองทัพรัสเซียสังหารอย่างชวนให้รู้สึกสลดยิ่ง ผู้ร่วมงานจึงต่างอยู่ในอาการนิ่งอึ้ง ก่อนจะเชิญชวนให้ผู้ชมได้ร่วมชมภาพยนตร์สารคดีสะท้อนสถานการณ์การต่อสู้ล่าสุดจากชาวยูเครน เรื่อง Freedom on Fire: Ukraine’s Fight for Freedom ซึ่งจะร่วมฉายนอกสายประกวดในเทศกาล ทำให้ผู้ชมต่างก็ปรบมือให้กำลังใจประธานาธิบดี Volodymyr Zelensky กันอย่างกึกก้องยาวนาน

 

เปิดฉากเบิกม่าน “เทศกาลภาพยนตร์นานาชาติเมืองเวนิส” ครั้งที่ 79 Credit : Marco BERTORELLO / AFP

 

เสร็จจากวาระพิเศษของงานแล้วก็จะเป็นการแนะนำคณะกรรมการตัดสินรางวัลประจำปี โดยในสายประกวดหลักครั้งนี้ เทศกาลได้นักแสดงหญิงมากฝีมือ Julianne Moore มารับหน้าที่เป็นประธานกรรมการ โดยมี ผู้กำกับ Mariano Cohn, Leonardo di Costanzo, Audrey Diwan, Rodrigo Sorogoyen นักแสดง Leila Hatami และนักเขียน Kazuo Ishiguro ร่วมเป็นกรรมการในการตัดสินรางวัลต่าง ๆ ด้วย ซึ่งคณะกรรมการจะต้องไล่ดูหนังในสายประกวดจำนวนถึง 23 เรื่อง ภายใน 10 วัน เพื่อสรรหาหนังที่โดดเด่นที่สุดในด้านต่าง ๆ สำหรับแต่ละรางวัลซึ่งจะประกาศกันในค่ำคืนของวันเสาร์ที่ 10 กันยายน นี้

 

เปิดฉากเบิกม่าน “เทศกาลภาพยนตร์นานาชาติเมืองเวนิส” ครั้งที่ 79 Credit : Tiziana FABI / AFP

 

พิธีเปิดงานเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติเวนิส ครั้งที่ 79 จบลงด้วยการฉายหนังเปิดเทศกาล ซึ่งหนังที่ได้รับเกียรติในปีนี้ ก็คืองานเรื่องใหม่ที่ชื่อ White Noise ของผู้กำกับ Noah Baumbach ซึ่งก็มีดาราที่ร่วมแสดงมาร่วมเดินพรมแดงในงานฉายรอบกาล่านี้ด้วย ไม่ว่าจะเป็น Adam Driver, Greta Gerwig, Don Cheadle และ Raffey Cassidy

 

เปิดฉากเบิกม่าน “เทศกาลภาพยนตร์นานาชาติเมืองเวนิส” ครั้งที่ 79 (จากซ้าย) Adam Driver, ผู้กำกับ Noah Baumbach, Don Cheadle, Greta Gerwig, Jodie Turner-Smith 

Credit : Marco BERTORELLO / AFP

 

White Noise เป็นหนังตลกที่ย้อนยุคไปยังช่วงสมัย 1970-1980 ในสหรัฐอเมริกา เนื้อหาดัดแปลงมาจากนิยายชื่อเดียวกัน (1985) ของ Don DeLillo ผู้แต่งเรื่อง Cosmopolis (2003) ที่ David Cronenberg เคยดัดแปลงเป็นหนังชื่อเดียวกัน (2011) มาแล้ว

 

โดย Adam Driver รับบทเป็นศาสตราจารย์ Jack Gladney ผู้บุกเบิกสาขาวิชา ‘ฮิตเลอร์ศึกษา’ ในมหาวิทยาลัยที่สหรัฐอเมริกา จนกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญแถวหน้าทางด้านนี้ แต่เขาก็มีปมภายในติดตัวอยู่สองอย่างคือ

 

หนึ่ง เขาและภรรยา Babbette (แสดงโดย Greta Gerwig) เป็นผู้หมกมุ่นครุ่นคำนึงอยู่กับความตาย และมักจะสงสัยด้วยกันเสมอว่าฝ่ายชายหรือฝ่ายหญิงจะลาจากโลกนี้ไปก่อน และอีกฝ่ายที่เหลือจะทำอย่างไร โดยเฉพาะเมื่อพวกเขามีบุตรชายและบุตรสาวจากการสมรสที่ผ่านมาทุกครั้งรวมกันถึงสี่คน

 

ปมอีกอย่างคือ แม้เขาจะเป็นศาสตราจารย์ด้าน ‘ฮิตเลอร์ศึกษา’ แต่เขากลับไม่สามารถพูดภาษาเยอรมันได้ จนต้องแอบจ้างครูมาสอนให้ลับ ๆ ไม่ให้ใครจับได้ว่าเขาไม่รู้จักวัฒนธรรมเยอรมันจริง ๆ

 

เรื่องราวยิ่งยุ่งเหยิงเมื่อเกิดอุบัติเหตุรถขนสารเคมีอันตรายชนกันอย่างจังจนเกิดการรั่วไหล กลายเป็นมหันตภัยที่ทุก ๆ ครอบครัวในละแวกนั้นจะต้องอพยพหลบหนี โดยใครที่สูดดมสารเคมีเข้าไปก็จะเสี่ยงอันตรายกลายเป็นบุคคลต้องห้ามที่ไม่สามารถใกล้ชิดกับสมาชิกรายอื่น ๆ ได้อีก

 

 

เนื้อหาของ White Noise เรียกได้ว่าดำเนินรอยตามโครงสร้างสุดประหลาดพิสดารจนใคร ๆ ก็ขนานนามว่าเป็นเรื่องเล่าสุดโพสโมเดิร์นของนวนิยายต้นฉบับโดยไม่ได้ปรับเปลี่ยนอะไรมากนัก แต่ผู้กำกับ Noah Baumbach ก็รู้จักใช้ภาษาหนังและอารมณ์ขันในด้านงานภาพ ทำให้เรื่องราวแสนโกลาหลใน White Noise นี้มีความตลกแปร่งเฉพาะตัวที่รั่วได้อย่างมีเอกลักษณ์ดีเหลือเกิน

 

สำหรับหนังสายประกวดเรื่องอื่น ๆ ที่ได้ฉายในเทศกาลกันตั้งแต่วันแรก ๆ ก็ยังมี เรื่อง Bones and All ของผู้กำกับ Luca Guadagnino ซึ่งดัดแปลงมาจากนิยายเช่นกัน แต่เป็นนิยายแนวสยองขวัญชื่อเดียวกัน (2015) ของ Camille DeAngelis โดยมีนักแสดงหนุ่ม Timothée Chalamet กับนักแสดงสาว Taylor Russell มารับบทเป็นหนุ่มสาวคู่รักวัยรุ่นที่มีพฤติกรรมหิวกระหายกับการได้กินเนื้อมนุษย์สด ๆ เหมือนกัน โดยพวกเขาสามารถดักจับสัญญาณคนที่มีสัญชาตญาณเดียวกันนี้ได้ผ่านทางกลิ่น

 

 

Bones and All จึงมีความเป็นหนังรักสยองแหวะที่ชวนให้นึกไปถึงเรื่องราวกลิ่นอายคล้าย ๆ กันใน Let the Right One In (2008) ของผู้กำกับ Tomas Alfredson จากสวีเดน ชนิดที่ถ้าใครเคยชื่นชอบหนังเรื่องนี้ ก็น่าจะถูกใจกับ Bones and All ได้ไม่ยาก

 

เปิดฉากเบิกม่าน “เทศกาลภาพยนตร์นานาชาติเมืองเวนิส” ครั้งที่ 79 Timothee Chalamet, Taylor Russell กับแฟชั่นพรมแดงที่กลายเป็นสีสันของงาน 

Credit : Marco BERTORELLO / AFP

 

 

ส่วน All the Beauty and the Bloodshed ของผู้กำกับหญิง Laura Poitras ก็เป็นสารคดีแบบเต็มตัวเรื่องเดียวในสายประกวด โดยผู้กำกับตั้งใจสร้างสารคดีเรื่องนี้เพื่อสดุดีชีวิตการทำงานและการต่อสู้ในฐานะนักกิจกรรมของศิลปินช่างภาพหญิง Nan Goldin อย่างเต็มที่

 

เปิดฉากเบิกม่าน “เทศกาลภาพยนตร์นานาชาติเมืองเวนิส” ครั้งที่ 79

 

หนังมีทั้งส่วนที่แสดงภาพสไลด์ผลงานภาพถ่ายชีวิตชนชาว LGBTQ ซึ่งเคยต้องใช้ชีวิตแปลกแยกในโลกใต้ดินมาตั้งแต่ยุค 1970s ของ Nan Goldin ประกอบเสียงบรรยายแนวความคิดการสร้างงานและชีวิตส่วนตัวในแต่ละช่วงของเธอ กับการติดตามกิจกรรมการประท้วงให้พิพิธภัณฑ์ศิลปะที่ได้รับการสนับสนุนด้านการเงินจากตระกูล Sackler ซึ่งมีคดีฉาวโฉ่เรื่องการผลิตยาที่ทำให้ผู้ป่วยเจอผลกระทบจากการได้รับยาเกินขนาด ถอนป้ายแสดงความขอบคุณในฐานะสนับสนุนออกเสีย ซึ่ง Nan Goldin และพรรคพวกก็เรียกร้องกันอย่างสู้ตาย แม้ว่าสุดท้ายแล้วพวกเขาก็อาจจะไม่ได้ประสบความสำเร็จในทุก ๆ แคมเปญที่ต่อสู้

 

แต่เรื่องที่ดูจะทดลองมากที่สุดในสายประกวดปีนี้ คือหนังความยาวเพียง 64 นาที เรื่อง A Couple ของผู้กำกับสารคดีชาวอเมริกัน Frederick Wiseman ที่หันมาทำหนังเล่าเรื่องกับเขาบ้าง โดยตลอดความยาว 64 นาที หนังมีนักแสดงเพียงแค่คนเดียว คือ Nathalie Boutefeu มารับบทเป็น Sophia ศรีภรรยาของนักเขียนชาวรัสเซียชื่อก้อง Leo Tolstoy ซึ่งจะมาพร่ำบ่นนินทาเป็นภาษาพากย์ฝรั่งเศสว่าการที่เธอต้องมาอยู่กินกับนักประพันธ์ท่านนี้มันมีเรื่องน่าชีช้ำประการใดบ้าง

 

เปิดฉากเบิกม่าน “เทศกาลภาพยนตร์นานาชาติเมืองเวนิส” ครั้งที่ 79

 

แต่ความพิเศษคือผู้กำกับ Frederick Wiseman ชวนให้ตัวละคร Sophia ออกมาคร่ำครวญท่ามกลางธรรมชาติย้อนยุคอันสวยงามกระจ่างตาของสวน Boulaye บนเกาะ Belle Île ประเทศฝรั่งเศส ที่ถ่ายทำออกมาได้บรรยากาศที่ชวนให้อยากไปเห็นด้วยตาตนเองเสียเหลือเกิน

ฉากหลังของหนังจึงงดงามในระดับที่ต่อให้ Sophia จะบ่นอุบร่ายยาวเป็นชั่วโมงกันอย่างไรก็ยินดีที่จะเอนหลังนอนฟังได้ ถ้าได้อยู่ในเรือกสวนรุกขชาติที่เอกอุบรรเจิดราวได้อยู่บนสรวงสวรรค์กันเช่นนี้

 

หนังแสดงพลังหญิงที่โดดเด่นมาก ๆ อีกเรื่องในสายประกวดปีนี้ ก็ยังมีเรื่อง Monica ของผู้กำกับหนุ่มอิตาเลียน Andrea Pallaoro แต่ได้ไปทำหนังที่อเมริกา Monica คือชื่อของตัวละครหลักของหนัง ซึ่งรับบทบาทโดยนักแสดงสาวทรานส์ Trace Lysette โดย Monica เป็นสาวสวยหุ่นสะบึมผู้ไม่เคยประสบความสำเร็จในด้านความรัก

 

เปิดฉากเบิกม่าน “เทศกาลภาพยนตร์นานาชาติเมืองเวนิส” ครั้งที่ 79

 

เกือบตลอดทั้งเรื่องเราจะเห็น Monica ต้องโทรไปงอนง้อแฟนหนุ่มอยู่ตลอดเวลา และแม้ว่ารูปร่างหน้าตาของเธอจะมีแรงดึงดูดต่อเพศตรงข้ามอย่างมหาศาลเพียงใด Monica กลับไม่ได้มีความมั่นใจในการเป็นตัวของตัวเองครั้งนี้เลย

 

ในช่วงเวลาสุดเคว้งนี้ Monica จึงตัดสินใจเดินทางกลับบ้านไปเยี่ยมมารดาวัยชราที่กำลังป่วย และน้องชายกับน้องสาวของเธอ หลังจากที่เคยหนีออกจากบ้านมาตั้งแต่ตอนยังเป็นวัยรุ่น แต่มารดากลับจำไม่ได้ว่าเธอเป็นใคร ซึ่งก็ยิ่งสร้างบาดแผลทางจิตใจให้กับเธอได้ร้าวรานมากยิ่งขึ้น

 

นักแสดงหญิง Trace Lysette สร้างตัวละคร Monica ออกมาได้วิเศษอย่างที่จะไม่เคยเห็นตัวละครในลักษณะนี้จากหนังเรื่องอื่นไหน ทำให้หนังทั้งเรื่องมีความน่าติดตามไปโดยปริยาย กับอุปนิสัยและความไม่เคยมั่นใจในตัวเองจนกลายเป็นความเฉพาะตัวเช่นนี้

 

ดูแล้ว Trace Lysette มีโอกาสสูงที่อาจจะคว้ารางวัลนักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมไป และอาจจะเป็นนักแสดงสาวทรานส์คนแรกที่คว้ารางวัลไปได้ในสาขานี้