เชียงใหม่ โอฮายโย!

เชียงใหม่ โอฮายโย!

เมื่อจิตวิญญาณแห่งอาทิตย์อุทัยไม่ได้จำกัดแค่ที่ประเทศญี่ปุ่น วันนี้ไม่ใช่แค่กลิ่นอายแต่คุณยังได้สัมผัสความเป็นเจแปนสไตล์เกือบจะเหมือนต้นฉบับได้ที่เชียงใหม่เจ้า

ใครๆ ก็ชอบประเทศญี่ปุ่น ไม่ว่าจะเรื่องอาหารการกิน, สถานที่ท่องเที่ยว, วัฒนธรรมประเพณี และอื่นๆ อีกมากมาย ที่ต้องบอกว่าถูกจริตคนไทยจำนวนไม่น้อย และนั่นทำให้นักท่องเที่ยวบ้านเราแห่แหนไปเที่ยวบ้านเขามากมายทุกปีๆ จึงไม่แปลกเลยหากกำลังเดินชมปราสาทโอซาก้าแล้วจะได้ยินคนข้างๆ พูดภาษาไทย หรือขณะยืนชมความงามของฟูจิซังที่คาวาคูจิโกะแล้วจะมีคนไทยมาสะกิดวานให้ถ่ายรูปให้

แต่สำหรับบางคนที่ไม่ได้มีเวลามากมายนัก และไม่ต้องการบินไปไกลถึงแดนปลาดิบ เพียงไม่กี่พริบตาเมื่อขึ้นมาเชียงใหม่ ก็ได้ดื่มด่ำความเป็นญี่ปุ่นจนอาจหลงคิดไปว่ากำลังเที่ยวญี่ปุ่นจริงๆ

48422404_2085276024864532_8543040150492413952_o

  • บันไซ ไชยปราการ

จากตัวเมืองเชียงใหม่ราว 120 กว่ากิโลเมตร ซอกมุมหนึ่งของอำเภอไชยปราการมีสถานที่หนึ่งนำเอาความเป็นญี่ปุ่นมาเนรมิตให้สวนอินทผลัมซึ่งเป็นผลไม้จากดินแดนแห้งแล้งอย่างตะวันออกกลางกลายเป็นสวนอินทผลัมเจแปนสไตล์ และไม่ใช่แค่ยัดเยียดให้ดูเหมือน แต่ในรายละเอียดมีจิตวิญญาณซามูไรเต็มเปี่ยม

สวนนี้มีชื่อว่า สวนอินทผลัมโกหลัก ซึ่งโกหลักคือชื่อของ ‘โกหลัก’ ดร.ศักดิ์ ลำจวน เจ้าของสวนผู้บุกเบิกการนำอินทผลัมมาปลูกจนกลายเป็นสวนอินทผลัมแห่งแรกของประเทศไทยและของอาเซียน

ย้อนไปเมื่อราว 20 ปีก่อน โกหลักได้ไปดูงานที่ประเทศอิสราเอลเรื่องผักปลอดสารพิษและการเพิ่มผลผลิตการเกษตร แล้วได้มีโอกาสเห็นและลิ้มรสอินทผลัมครั้งแรก ตอนนั้นถือเป็นผลไม้แปลกเพราะยังไม่มีใครนำเข้ามาปลูกหรือขายในไทยเป็นกิจจะลักษณะ จึงนำเข้ามาปลูกโดยยังไม่หวังผลผลิต เพียงนำมาประดับบ้านไปศึกษาไป ทดลองไปทดลองมาเริ่มได้ผลผลิต จึงเข้าสู่กระบวนการวิจัยหาสายพันธุ์ที่เหมาะสม ผสมสายพันธุ์จนได้ อินทผลัม KL1 (KL ย่อมาจาก โกหลัก) ส่งขายยังห้างดังมาจนถึงทุกวันนี้

“ของเราอร่อยกว่าต่างประเทศ เพราะเราได้น้ำฝน ของต่างประเทศจะเก็บอ่อนนิดหนึ่ง ลูกใหญ่จริงแต่มันจะไม่อร่อย ส่วนของเราเก็บแบบพอดี”

48423925_2085276088197859_9079757435807203328_o

จากที่เคยกินอินทผลัมแบบเชื่อม สีเข้มๆ เนื้อเละๆ รสชาติหวานแหลม ได้มาลองอินทผลัมสด เนื้อกรอบและรสหวานหวานกำลังดีแถมยังได้ความรู้สึกสดชื่น คือประสบการณ์ที่มีต่อผลไม้ชนิดนี้อันแปลกใหม่ ซึ่งการกินผลสดจากสวนโกหลักก็วางใจได้ว่าปลอดภัยเพราะเขาปลูกแบบปลอดสาร

นอกจากกินสดก็ยังมีอินทผลัมแปรรูปหลายชนิด เช่น อินทผลัมเชื่อม, น้ำอินทผลัม, อินทผลัมกวน, ขนมและของกินที่มีส่วนผสมของอินทผลัม จำหน่ายในราคาสมเหตุสมผล ที่สำคัญอร่อยทุกอย่าง หากมาในช่วงเดือนกรกฎาคม-ตุลาคม จะได้เห็นลูกอินทผลัมสีเหลืองเต็มต้น ถ้ามาเดือนมกราคมก็เริ่มเห็นดอก ส่วนเดือนกุมภาพันธ์-เมษายนจะได้เรียนรู้การเก็บเกสร การผสมเกสร ทว่าช่วงนี้หากไปก็ไม่เสียเที่ยว แม้ที่ต้นจะไร้ผลไร้ดอก แต่รอบๆ สวนยังเที่ยวได้ไม่น่าเบื่อ

48412966_2085276051531196_2884134237923966976_o

โกหลักเล่าถึงที่มาที่ไปของการตกแต่งสวนแบบญี่ปุ่นว่าเพราะลูกสาวหลงใหลความเป็นญี่ปุ่นมาก และมีโอกาสไปที่นั่นบ่อยๆ ด้วยหน้าที่การงาน จนตัดสินใจว่าจะมาทำให้สวนของพ่อเป็นสวนญี่ปุ่น แรกเริ่มจากจะสร้างส่วนรับแขกเท่านั้น ค่อยๆ กลายเป็นแทบทุกกระเบียดนิ้วเป็นแดนซามูไรไปเสียแล้ว

แต่จะทำทั้งทีต้องไม่ใช่แค่ม็อคอัพหรือสร้างขึ้นปลอมๆ ในรายละเอียดต่างๆ ก็ไม่วายที่จะเก็บจนครบถ้วน ตัวอย่างเช่น อาคารด้านหน้าสำหรับต้อนรับและขายสินค้าที่ระลึก หากแหงนหน้าขึ้นไปจะพบหลังคาหน้าตาญี่ปุ่นจ๋า ที่เหมือนขนาดนั้นไม่ใช่แค่การออกแบบแต่เป็นเพราะวัสดุก็เหมือนต้นฉบับด้วยคือใช้แผ่นทองแดงมาสร้าง แต่ในประเทศไทยยังไม่เคยมีใครทำ บริษัทรับเหมาก่อสร้างถึงขั้นส่งคนไปเรียนรู้วิธีทำถึงโอซาก้า ประเทศญี่ปุ่น ปรากฏว่าต้องตัดทีละแผ่น ประกอบทีละแผ่น เฉพาะหลังคาใช้เวลาสร้างถึงสามเดือน และยิ่งนานวันเมื่อทองแดงเกิดปฏิกิริยากับอากาศ น้ำ ลม สีจะค่อยๆ เปลี่ยนเป็นอมเขียวดูเป็นเจแปนนิสเรโทร

เท่านั้นไม่พอ ยังมีอะไรอีกมากมายที่สะท้อนถึงความตั้งใจของโกหลักและลูกสาวที่จะทำให้สวนแห่งนี้เป็นแลนด์มาร์กกลิ่นโชยุท่ามกลางทิวเขาของไชยปราการ อาทิ อาคารที่ได้แรงบันดาลใจจากชิราคาวาโกะไว้สำหรับให้ชาวมุสลิมละหมาด รับแขก นั่งจิบน้ำชาชมสวนท่ามกลางบรรยากาศเงียบสงบ

48903309_2085276108197857_6872372372851130368_o

  • ฮิโนกิแลนด์ แดนซามูไร

แทบจะเป็นอีกอารมณ์หนึ่งสำหรับแลนด์มาร์กอีกแห่งของไชยปราการ ที่ยังเป็นคอนเซปต์หลักเดียวกัน คือ ‘เจแปนสไตล์’ แต่ที่นี่เล่นใหญ่ ยกเอาหลายสถานที่สำคัญของประเทศญี่ปุ่นมาจำลองบนพื้นที่เกือบร้อยไร่ให้กลายเป็นอาณาจักรญี่ปุ่น ในนามว่า ฮิโนกิแลนด์

ตั้งแต่เหลือบเห็นเสาโทริอิตั้งตระหง่านริมถนนสายเชียงดาว-ฝาง จนกระทั่งเดินผ่านโคมแดงซึ่งจำลองมาจากประตูอสุนี ศาลเจ้าอาซากุสะ ภายในนั้นคือดินแดนซามูไรใจกลางหุบเขาที่เกิดจากความกล้าและบ้าบิ่นของ อนิรุทธ์ จึงสุดประเสริฐ ที่มีความใฝ่ฝันเมื่อครั้งไปทำมาหากิน ณ ประเทศญี่ปุ่นว่าอยากนำสิ่งดีงามของที่นั่นกลับมาไว้ที่ไทย แล้วฝันก็มีเค้าลางว่าจะเป็นจริงเมื่อเขากลับมาไทยและได้ถือสัมปทานไม้หอมฮิโนกิจำนวนมหาศาล ต้นทุนเหล่านั้นทำให้เกิดเป็นฮิโนกิแลนด์วันนี้

“สิ่งที่ผมสร้างขึ้นคือญี่ปุ่นในประเทศไทย สร้างเพื่อสัมพันธไมตรีอันดีระหว่างไทยกับญี่ปุ่น แม้กระทั่งการที่นักท่องเที่ยวมาสวมชุดกิโมโนที่นี่ เราก็นำชุดมาจากญี่ปุ่น เราพยายามคงรักษาวัฒนธรรมประเพณีของเขาโดยไม่ลบหลู่ ชุดจึงต้องใกล้เคียง ไม่เป็นการล้อเลียน”

48423300_2085275694864565_5563362904780046336_o

ราวปีครึ่งที่ฮิโนกิแลนด์เปิดทำการ ความนิยมจากนักท่องเที่ยวมีอย่างล้นหลาม ส่วนหนึ่งจากความยิ่งใหญ่และหลากหลายของสิ่งปลูกสร้าง แต่อีกส่วนหนึ่งต้องยอมรับในรายละเอียดที่ไม่ถูกหลงลืมไว้แค่ฉากหน้า อย่างโคมแดงที่จำลองจากศาลเจ้าอาซากุสะก็ทำตามต้นแบบเกือบ 100 เปอร์เซ็นต์ มีตัวหนังสือเขียนว่า “คามินาริ” ที่ซุ้มประตูได้ทำพิธีอัญเชิญดวงวิญญาณมังกรอย่างถูกต้อง เชื่อกันว่าเมื่อลอดซุ้มนี้จะมีโชคลาภ สำหรับคนที่ต้องการดื่มด่ำให้สาสมใจ อย่างที่อนิรุทธ์บอกว่าที่นี่มีชุดกิโมโนให้เช่าสวมใส่เดินเที่ยวเล่นถ่ายภาพเป็นที่ระลึก

ไม่ว่าจะสวมชุดใด สิ่งต่อมาที่ทุกคนต้องทำแน่นอนเพราะคือเดินลอดอุโมงค์เสาโทริอิจำลองที่เรียงรายกันทั้งหมด 88 ต้น ในวันที่ฟ้าสดใส แสงแดดจัดจ้า สีแดงของเสาโทริอิจะฉูดฉาดสวยงาม แม้ในวันที่ฟ้าหม่น สีของเสาก็จะอิ่ม งามตาไปอีกแบบ นับเป็นจุดไฮไลต์ที่จะแค่เดินผ่านไปหรือยืนถ่ายรูปก็เหมือนอยู่ญี่ปุ่นจริงๆ

49132542_2085276254864509_5467793654741467136_o

ผ่านพ้นอุโมงค์ไปคือพื้นที่ด้านหน้าปราสาทฮิโนกิ อนิรุทธ์บอกว่าปราสาทนี้สร้างจากไม้ฮิโนกิทั้งหลังตามแบบดั้งเดิมของโชกุน ส่วนรูปร่างหน้าตาจำลองจากปราสาททองคินคาคุจิ หรือรู้จักกันในนามวัดอิคคิวซัง โดยจำลองมาในสัดส่วน 1:3 ซึ่งไม่ใช่จำลองให้เล็กลง แต่ขยายให้ใหญ่กว่าปราสาทจริงถึง 3 เท่า

ปราสาทมี 4 ชั้น ด้วยความที่สร้างจากไม้ฮิโนกิซึ่งเป็นไม้หอม จึงมีกลิ่นหอมอบอวล และชั้นบนของปราสาทมีองค์เจ้าแม่กวนอิมแกะสลักจากไม้ฮิโนกิประดิษฐานอยู่ด้วย สำหรับนักท่องเที่ยวที่ใช้รถเข็นก็ขึ้นปราสาทนี้ได้ เพราะถูกออกแบบให้เอื้อต่อทุกคน แม้แต่พื้นไม้ที่บางคนกังวลว่าจะถลอกเป็นรอย ก็ถูกปูหนาหลายนิ้ว เป็นรอยก็ขัดได้เรื่อยๆ

หากขึ้นไปถึงชั้นบนมองลงมาที่ด้านข้างปราสาท จะเห็นทะเลสาบรูปวงพระจันทร์ ลักษณะเหมือนเลขแปด เป็นสัญลักษณ์แห่งความอมตะ ไม่สิ้นสุด หรือถ้าเดินลงมาข้างล่าง มองไปในน้ำใสๆ ที่สะท้อนกับเงาของปราสาท งดงามไปอีกแบบ

48926331_2085276291531172_3333360449553956864_o

ถัดมาด้านข้างของปราสาทฮิโนกิคืออาคารแสดงสินค้า มีผลิตภัณฑ์มากมายจากฝีมือของชาวบ้านอำเภอไชยปราการ ฝาง พร้าว และแม่อาย กว่า 1,200 ครอบครัว ทั้งหมดเป็นผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพที่ต่อยอดจากการสกัดน้ำมันหอมในเนื้อไม้ฮิโนกิ ไม่ว่าจะเป็นที่นอนและหมอนเพื่อสุขภาพ สบู่ แชมพู และเครื่องสำอาง รวมไปถึงเฟอร์นิเจอร์แบบญี่ปุ่น

สำหรับคนที่สงสัยว่าไม้ฮิโนกิคืออะไร อธิบายให้เข้าใจง่ายๆ คือ ไม้สนชนิดหนึ่ง เรียกว่าสนไซเปรสญี่ปุ่น (Japanese Cypress) ในเนื้อไม้มีน้ำมันหอม นำมาสกัดเป็นน้ำมันหอมระเหย คุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระ ยับยั้งแบคทีเรีย ไอระเหยบรรเทาอาการคัดจมูก เนื้อไม้นิยมนำมาทำเฟอร์นิเจอร์และบ้านเรือน เป็นไม้ราคาแพง ปัจจุบันพบได้ที่ฝั่ง สปป ลาว

49071670_2085276191531182_3901438546682052608_o

  • ต๊ะต่อนยอนไปออนเซ็น

ช่วงที่อากาศเย็นแบบนี้แล้วได้เที่ยวสถานที่กลิ่นอายญี่ปุ่นคงทำให้หลายคนเพลินใจอย่างบอกไม่ถูก แล้วถ้าไม่ใช่แค่การเดินเที่ยวถ่ายรูปแล้วสมมติกับตัวเอง แต่มีกิจกรรมแบบเดียวกับที่ชาวญี่ปุ่นนิยมทำล่ะ จะยิ่งฟินแค่ไหน

การแช่น้ำร้อน หรือภาษาญี่ปุ่นเรียกว่า ‘ออนเซ็น’ หยั่งรากลึกในวิถีชีวิตของพวกเขามาช้านาน แม้แต่ทุกวันนี้ออนเซ็นยังได้รับความนิยมไม่เสื่อมคลาย นักท่องเที่ยวจากต่างแดนเมื่อไปเยือนแดนวาซาบิก็มิวายต้องหาโอกาสแช่ออนเซ็นเช่นกัน

ตัดภาพมาที่เมืองร้อนอย่างบ้านเรา การจะแช่น้ำร้อนอาจไม่ใช่สิ่งที่หลายคนอยากทำ แต่พอเป็นพื้นที่อากาศหนาวเย็นอย่างอำเภอเชียงดาว การแช่น้ำร้อนก็พอได้อยู่

ภายในพื้นที่อุทยานแห่งชาติผาแดง มี บ่อน้ำพุร้อนโป่งอาง ซุกตัวอยู่อย่างเงียบๆ ทว่าไอร้อนจากใต้พิภพยังคงทำหน้าที่ต้มน้ำให้ร้อนและอุ่นอยู่เสมอ บ่อน้ำพุร้อนนี้เกิดตามธรรมชาติ มีจำนวน 2 บ่อหลัก กว้างบ่อละประมาณ 4-5 เมตร อุณหภูมิของน้ำประมาณ 58-64 องศาเซลเซียส

48425728_2085275918197876_6996781735576862720_o

สิ่งที่สังเกตได้ตั้งแต่เข้ามาที่นี่คือกลิ่นกำมะถันไม่แรงมาก หลายคนคงประสบปัญหาทนกลิ่นเหม็นตุๆ ของกำมะถันไม่ได้ จนไม่ค่อยอยากย่างกรายเข้าไปเที่ยวบ่อน้ำพุร้อน แต่ที่นี่อยู่ในเกณฑ์ไม่ทำร้ายจมูกจนเกินไป จะแช่แค่เท้าหรือแช่ตัวก็มีให้เลือกหลายบ่อ

สำหรับนักท่องเที่ยวที่ต้องการพักแรมที่นี่มีจุดกางเต็นท์บริการด้วย ได้แช่น้ำร้อนให้ร่างกายผ่อนคลายแล้วนั่งดูดาวท่ามกลางอากาศหนาวๆ แค่คิดก็สุขแล้ว หรือถ้าไม่อยากนอนเต็นท์ก็มีบ้านพักอุทยานเช่นกัน แต่ต้องจองล่วงหน้าก่อน

49025918_2085275938197874_4616367704578719744_o

อันที่จริงเชียงใหม่มีบ่อน้ำพุร้อนกระจายตัวอยู่หลายแห่ง แต่อีกที่ที่จะแนะนำให้ไปคือ บ่อน้ำพุร้อนฝาง เป็นบ่อน้ำพุร้อนที่เกิดขึ้นมาจากหินร้อนเหลวที่อยู่ใต้เปลือกโลก (แมกมา) ไหลแทรกมาตามช่องหินขึ้นมาใกล้เปลือกโลก ทำให้ชั้นหินบริเวณนั้นมีอุณหภูมิสูงขึ้น และเมื่อน้ำบาดาลไหลผ่านชั้นหินร้อน จึงทำให้อุณหภูมิของน้ำนั้นสูงขึ้นตามไปด้วย ทำให้เกิดแรงดันมหาศาล และดันตัวเองผ่านรอยแยกของหินแกรนิตขึ้นมาบนพื้นผิวโลก จนเกิดเป็นน้ำพุร้อนพุ่งขึ้นมา โดยมีไอร้อน เป็นควันลอยคุกรุ่นอยู่ตลอดเวลา ซึ่งความร้อนของน้ำในบ่อน้ำพุร้อนนั้นมีความร้อนสูงประมาณ 80-100 องศาเซลเซียส

49042917_2085275738197894_3295803477401272320_o

บ่อน้ำพุร้อนฝางมีมากกว่า 50 บ่อ กระจัดกระจายอยู่รอบๆ ภายในบริเวณพื้นที่กว่า 10 ไร่ ซึ่งทางอุทยานแห่งชาติฯ ได้พัฒนาพื้นที่ให้สวยงามเข้ากับธรรมชาติ โดยทำทางเดินด้วยแนวหิน เพื่อให้นักท่องเที่ยวเดิน เข้าไปชมบ่อน้ำพุร้อนได้อย่างใกล้ชิด บ่อน้ำพุร้อนบางบ่อมีขนาดใหญ่ บางบ่อมีขนาดเล็ก แต่ว่าจะมีบ่อใหญ่อยู่หนึ่งบ่อที่จะมีไอน้ำพุ่งขึ้นสูงกว่า 40-50 เมตร จากการกักเก็บแรงดันไอน้ำแล้วให้ดันออกมาเมื่อถึงจุดที่เหมาะสม บางบ่ออุณหภูมิสูงถึงขนาดต้มไข่จนสุกได้ภายในระยะเวลาแค่ 10-20 นาที ซึ่งทางอุทยานแห่งชาติฯ มีกิจกรรมต้มไข่ในบ่อน้ำพุร้อนไว้ให้บริการแก่นักท่องเที่ยวด้วย

แนะนำถึงสองแห่ง นอกจากได้อุ่นกายสบายใจรับลมหนาว สมศักดิ์ ฐิติชยาภรณ์ หัวหน้าอุทยานดอยผ้าห่มปกบอกว่าข้อดีของการแช่น้ำร้อนคือกล้ามเนื้อได้ผ่อนคลาย ระบบโลหิตไหลเวียนดีขึ้น สิ่งสกปรกตามร่างกายถูกชะล้างออกอย่างหมดจด

“เวลาเหงื่อออก สิ่งสกปรกก็ออกมาตามรูขุมขน การแช่น้ำพุร้อนนี่เราเสียเหงื่อตลอดเวลาเลยนะ เพราะฉะนั้นต้องแช่แต่พอดีเพื่อความปลอดภัยและสุขภาพที่ดี”

48950878_2085275808197887_2746070358120464384_o

ด้วยความนิยมชมชอบของนักท่องเที่ยวไทยที่มีต่อมนต์เสน่ห์แบบญี่ปุ่น ทำให้ปัจจุบันมีนักท่องเที่ยวเดินทางมาสัมผัสกลิ่นอายอาทิตย์อุทัยกันล้นหลาม การท่องเที่ยวในวันธรรมดา ตามแคมเปญ วันธรรมดาน่าเที่ยว ของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) จึงเป็นทางเลือกหนึ่งซึ่งจะช่วยให้ไม่ต้องแออัดยัดเยียดในสถานที่ท่องเที่ยวยอดฮิต หรือไม่ต้องแย่งกันกินแย่งกันใช้จนอาจทำให้ประสบการณ์การท่องเที่ยวครั้งนั้นมีมลทิน

  หากคุณหลงใหลดินแดนซามูไร แต่ไม่อยากเดินทางไกลเกินไป ลองขึ้นเชียงใหม่ไปกล่าวทักทาย “โอฮายโย” สักครั้งรับรองว่า “สุโก้ย!”

49071670_2085276191531182_3901438546682052608_o

49138075_2085275991531202_9175165581622509568_o