ดิจิทะเล ...เพราะทะเลใกล้ตัวเรากว่าที่คิด
ชวนคุยเรื่องทะเลกับกลุ่มช่างภาพใต้น้ำที่มองทะเลมากกว่า แหล่งท่องเที่ยวสวยงาม หากแต่ยังเป็นฐานที่มั่นทางทรัพยากรที่เปราะบางที่สุด
เมื่อโลกใต้น้ำยังคงเปี่ยมด้วยมนต์เสน่ห์ไม่รู้จบ เรื่องราวที่บอกเล่าจากนิเวศหลักที่โอบอุ้มโลกใบนี้เอาไว้จึงมีมากมายหลายแง่มุม ทั้งความสวยงาม และสรรพชีวิต โดยเฉพาะความใกล้ชิดกับคนเราที่แทบจะแนบสนิทเป็นเนื้อเดียวกันในชีวิตประจำวัน
สำคัญขนาดนั้น ?
ถ้าถามกลุ่มคนที่สื่อสารเรื่องทะเลให้กับสังคมไทยผ่านภาพถ่าย คลิปวีดิโอ หรือบทความทั้งสั้น-ยาวตามโอกาสมากว่า 10 ปีอย่าง ‘ดิจิทะเล’ พวกเขาต่างตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า “ใช่”
ในรายละเอียดของเพจ ดิจิทะเล (Digitalay) บนออนไลน์ พวกเขานิยามตัวเองว่า เป็นเรื่องทะเลของคนถือกล้องชอบดำน้ำ และชอบเรียนรู้เกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตใต้น้ำที่ซ่อนอยู่ในภาพ ประกอบไปด้วยสมาชิก 5 คน คือ เอ้ มีน โน้ต นุ และน้อยหน่า
ที่ผ่านมา นอกจากผลงานภาพถ่ายที่แต่ละคนไปคว้ารางวัลการันตีฝีมือในความชอบส่วนตัวแล้ว พวกเขายังเคยฝากเรื่องราวเกี่ยวกับโลกใต้ทะเลผ่านแม็กกาซีนดำน้ำ และสารคดีใต้น้ำชุด ‘4 องศามหาสมุทร’ ซึ่งกำลังจะออกอากาศเร็วๆ นี้ รวมทั้งความเคลื่อนไหวเกี่ยวกับทะเลในแง่มุมต่างๆ ผ่านช่องทางออนไลน์
ทั้งหมดก็เพื่อแก้ความคลุมเครือ และดราม่าจากความไม่รู้ด้วยชุดข้อมูลที่น่าเชื่อถือลงไปแทน เพื่อให้คนเข้าใจทะเลมากขึ้น
“มีหลายครั้งที่มีข้อมูลเลอะเทอะกระจัดกระจายอยู่ในไซเบอร์สเปซ หรือคนแชร์ข้อมูลผิดๆ แล้วก็นำไปสู่ดราม่าหลายๆ เรื่อง เราก็รู้สึกว่าต้องเป็นหน้าที่ของเราในการดึงให้คนฉุกคิด หรือเฮ้ยใจเย็นๆ นะ ข้อมูลจริงๆ มันเป็นอย่างนี้” แอดเอ้ - พลพิชญ์ คมสัน อธิบายถึงบทบาทของเพจที่ผ่านมา
ถ้ายังจำแผนภาพวาดมือชุดแรกๆ ภายในถ้ำหลวงขุนน้ำนางนอน จ.เชียงราย เมื่อกลางปีที่ผ่านมาได้ นั่นคือฝีมือของ ชุตินันท์ โมรา หรือ แอดมีน หลังจากทางกลุ่มได้เข้าไปช่วยประสานงานเรื่องการดำน้ำเพื่อช่วย ‘13 หมูป่า’ เพื่ิออธิบายลักษณะทางกายภาพเบื้องต้นของถ้ำ และความจำเป็นของชุดเครื่องมือที่ต้องใช้ ซึ่งถูกนำไปแชร์ทั่วพื้นที่โซเชียลมีเดียในเวลาต่อมา
หรือเหตุการณ์เรือล่มที่ อ่าวชุมพร ก็เป็นพวกเขาอีกเหมือนกันที่ได้ข้อมูลจากชุดช่วยเหลือในพื้นที่มาเพื่อลำดับรายละเอียดโดยที่ไม่ลืมเตือนว่า นี่เป็นข้อมูลจากการคาดคะเน และอย่าเพิ่งไปเชื่อข่าวที่กำลังกระจัดกระจายอยู่ในตอนนั้น แม้แต่เรื่องวาฬบรูด้าไม่ได้เป็นสัตว์สงวนที่ ‘ชาวเน็ต’ ต่างออกมาโวยวาย เพจก็ไม่ลืมที่จะหาข้อมูลประกอบเกี่ยวกับขั้นตอนการทำงานของหน่วยงานเข้ามาเติมเพื่อให้คนเข้าใจเรื่องก่อน รวมทั้งเกร็ดความรู้เกี่ยวกับทะเล และสิ่งแวดล้อมในอีกหลายๆ กรณี
เมื่อการสร้างความเข้าใจ ต้องอาศัยความรู้ การสื่อสารความถูกต้องจึงเป็นสาระสำคัญที่ต้องทำคู่กันไปด้วย โดยเฉพาะเรื่องของการอนุรักษ์
“มันจำเป็นนะ” สิริพรรณี สุปรัชญา หรือ น้อยหน่า ยืนยัน
“ตอนนี้ทุกคนบอกว่า พลาสติกมันเลว เราต้องช่วยกันกำจัดพลาสติกออกไป แต่พอบอกว่าไปเก็บขยะกัน แต่ไม่รู้ว่าควรเก็บ หรือไม่เก็บอะไร บางคนก็เก็บใบไม้ เก็บใบไผ่ ซึ่งเป็นของที่อยู่กับธรรมชาติอยู่แล้ว หรือขวดแก้วเก่าถ้ามีสัตว์เข้าไปทำรัง นั่นเท่ากับว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติไปแล้ว ไม่ต้องเก็บมาก็ได้”
ยิ่งไปกว่านั้น บางกิจกรรมอนุรักษ์พอขาดความรู้มันก็กลายเป็นความหวังดีประสงค์ร้ายไปอย่างน่าเสียดาย ไม่ว่าจะเป็นการปลูกต้นโกงกางในพื้นที่ที่ไม่เหมาะกับการเจริญเติบโต การปล่อยปลาการ์ตูน หรือม้าน้ำผิดแหล่งที่อาศัย การเฮโลปลูกปะการังโดยไม่ได้คิดถึงความหลากหลายของพื้นที่ หรือการถมปลูกหญ้าทะเลจนกลายเป็นเปลี่ยนทางน้ำในบริเวณนั้นไป เป็นต้น
“ความรู้มหาศาล มันไม่มีใครรู้ทุกเรื่องหรอก ที่เราทำก็คือเอาความรู้ที่มันยากๆ หรือเรื่องที่คนรู้แล้วลืม เอากลับมาเตือนในแบบที่ง่าย เข้าใจ เราก็ตั้งเป้าว่า ให้เขาเกิดการฉุกคิดบ้าง ไม่ไหลไปตามกระแส” มีนบอก
ปฏิเสธไม่ได้ที่คนเราบ่อยครั้งที่ไม่รัก(ษ์) ก็เพราะไม่รู้ โดยเฉพาะสิ่งที่มองไม่เห็นอย่างใต้น้ำ ถึงเราจะรู้จากตำราเรียนว่า ร่างกายของเราประกอบด้วยน้ำกว่าร้อยละ 70 หรือทะเลกินพื้นที่ถึง 3 ใน 4 ของโลก แต่เมื่อเราต่างใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่บนบก แล้วจะเกี่ยวอะไรกับทะเล
ทั้งที่จริงๆ แล้วทะเลกับเราห่างกันแค่ช่วง ‘ลมหายใจ’ เสียด้วยซ้ำ
“ร่างกายเรามีน้ำ ก็เท่ากับว่าเราเชื่อมโยงถึงทะเล น้ำทุกจุดสุดท้ายมันก็จะกลิ้งไปถึงกันอยู่แล้ว” มีนเปิดประเด็น ก่อนที่น้อยหน่าจะตั้งข้อสังเกตต่อว่า ในเมื่อน้ำทั้งโลกเป็นแผ่นน้ำผืนเดียวกัน ดังนั้นผลกระทบที่เกิดขึ้นที่ซีกโลกใต้ย่อมสะเทือนไปถึงซีกโลกเหนือด้วย
“หรือถ้าคุณจะคิดว่าเราไม่ได้กินอาหารทะเล แต่ต้องไม่ลืมว่า ทุกสิ่งทุกอย่างมันเริ่มมาจากตรงนั้น” ในความหมายของ โน้ต - กมลรัตน์ ตรงรัตนวงศ์ ก็คืออุตสาหกรรมอาหารสัตว์ที่กลายเป็นเมนูจานหลักในชีวิตประจำวันของทุกคนนั้นก็ล้วนต้องพึ่งปลาจากทะเลเข้ามาเป็นส่วนประกอบ
กระทั่งผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ หรือที่เรารู้จักกันในชื่อของ ภาวะโลกร้อน ก็ได้ทะเลอีกนั่นแหละมาเป็นซูเปอร์ฮีโร่ช่วยดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เอาไว้ ซึ่งเป็นมาตั้งแต่ก่อนยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมเสียด้วยซ้ำ
แม้อากาศที่เราใช้หายใจส่วนใหญ่ก็ล้วนเป็นผลพวงมาจากทะเลทั้งสิ้น
“ไฟโตแพลงก์ตอน (Phytoplankton) ผลิตออกซิเจนได้มากกว่าต้นไม้ทั้งโลกรวมกันเสียอีก” สิ่งที่พลพิชญ์พูดถึงก็คือ งานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร Science ซึ่งพบว่า แท้จริงแล้วแพลงก์ตอนพืช คือโรงงานผลิตออกซิเจนขนาดใหญ่ที่ทำให้คนเราหายใจได้อย่างเต็มปอดในวันนี้อีกด้วย
น้อยหน่าตั้งข้อสังเกตว่า ทั้งๆ ที่ทะเลใกล้ตัวคนมาก แต่วันนี้ทะเลก็ยังถูกมนุษย์ล้างผลาญแบบไม่รู้สึกอะไรอยู่ สิ่งที่เธอรู้มาก็คือ การพลิกแพลงของชาวประมงที่นำอวนขนาดตามมาตรฐานที่กฎหมายกำหนดมาทบกันไม่ต่ำกว่า 3 ชั้นเพื่อทำให้สามารถทำประมงได้ผลผลิตในปริมาณเท่าเดิม ซึ่งนี่ถือเป็นตัวอย่างที่สะท้อนถึงความไม่เข้าใจของผู้คนได้อย่างดีที่สุดตัวอย่างหนึ่ง
“คนยังมีความเข้าใจผิดอยู่ว่าเราจะเอาจากทะเลเท่าไหร่ก็ได้ และทะเลหรือธรรมชาติก็จะซ่อมแซมตัวมันเอง ทั้งๆ ที่ตอนนี้คนก็มีเยอะเกินจนเราไม่สามารถจะเอาทุกอย่างจากทะเลได้แล้ว”
“การมีข่าวเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมแล้วรู้สึกโกรธ มีอารมณ์ร่วม แต่ทุกคนมักจะลืมว่า เราต่างเป็นส่วนหนึ่งของปัญหา” ภานุพงศ์ นรเศรษฐกมล หรือ นุ สะท้อนมุมมองที่เขาได้พบเจอในช่วงเวลาที่ผ่านมา
พอๆ กับความไม่รู้ก็คือความไม่เข้าใจที่เอ้ยืนยันว่า มันไม่ต่างจาก ‘ตัวเร่ง’ ปัญหาให้บานปลายอย่างทุกวันนี้ ไม่ว่าจะเป็นการบริโภคเกินขนาดในอุตสาหกรรมประมงที่มีรายงานพบว่า ปัจจุบันมีการทำประมงเพิ่มขึ้นกว่า 55 เปอร์เซ็นต์ของพื้นที่มหาสมุทรทั้งหมด ซึ่งใหญ่กว่าพื้นที่การเกษตรบนบกถึง 4 เท่าแล้ว ขณะที่ข้อมูลทั้งหมดกลับยังถูกห่อเอาไว้เฉพาะในแวดวงวิชาการเท่านั้น
“หลายคนก็ไม่รู้ว่า ปลาข้าวสาร คือ ตัวอ่อนของปลากะตัก ปลากะตักคือสิ่งที่เราเอามาทำน้ำปลา และเป็นอาหารของวาฬ ที่เราจับปลาข้าวสารมากินมันก็เหมือนเป็นการตัดตอนวงจรอาหารวาฬไปด้วยเหมือนกัน ที่เราบอกว่ารักษ์วาฬกันเถอะ และเราก็ไม่ได้มองถึงความเชื่อมโยง หรือผลกระทบที่เกิดขึ้นตรงนี้” น้อยหน่าเสริมจิ๊กซอว์ที่หายไปอีกตัว
มาถึงตรงนี้ หลายคนอาจจะคิดว่าเป็นไปได้ไหม ที่เราจะเดินเลยจุดกลับตัวมาแล้ว แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าทุกอย่างจะสายเกินแก้
“ปัญหาหลายอย่างมาจากสิ่งที่คนเราคิดว่าเล็กน้อยซึ่งมันส่งผลกระทบมหาศาล ขณะเดียวกันถ้าเราเกิดการเปลี่ยนแปลงจากตัวเราเองมันก็จะสร้างความเปลี่ยนแปลงมหาศาลด้วยเหมือนกัน” นุสะท้อนอีกมุม
การลด ละ เลิก รวมถึงการใช้ทรัพยากรอย่างมีสติ และเท่าทันจึงถือเป็นแนวทางหนึ่งที่ยังสามารถทำได้ในวันนี้ อย่างน้อยก็ต้องรู้ว่า การใช้กล่องกระดาษ ถุงกระดาษแล้วทิ้งให้ย่อยสลายตามธรรมชาติ อาจไม่ช่วยเท่าการนำเอาถุงพลาสติกที่ใช้แล้วกลับมาใช้ใหม่ให้มากครั้งที่สุด
เมื่อทั้งฝ่ายล้างผลาญทรัพยากร และฝ่ายอนุรักษ์ทรัพยากรล้วนต่างเห็นแก่ตัวเหมือนกันอย่างที่ แอดเอ้ชวนมองอีกมุมที่เหลืออยู่ การทำตามความเชื่ออย่างที่เชื่อว่าธรรมชาติที่ดีจะดีกับทุกคนในองค์รวม ก็ทำอย่างที่เชื่อเท่านั้นเอง
“วันนี้ไม่ต้องไปชี้หน้าด่ากัน เพราะทุกคนต่างมีบาปของตัวเอง เราทำที่สบายใจของเราดีกว่าค่ะ” มีนสรุป
#โฉมหน้าทีมทะเล
นอกจากคำว่า ดิจิทัล กับ ทะเล ที่ถูกเอามารวมกันจนกลายเป็นชื่อกลุ่มแล้ว สิ่งที่ แอดเอ้อธิบายเพิ่มเติมเอาไว้ในนิยามความเป็น ดิจิทะเล ก็คือ ...ในยุคที่ทุกอย่างเปลี่ยนเป็น 1 กับ 0 และส่งผ่านกันด้วยความเร็วแสง เราก็อยากเอาเรื่องของทะเลแปลงเป็นเลข 1 กับ 0 และส่งต่อให้ทุกคนได้รับรู้ความมีอยู่จริงถึงแม้จะไม่ได้ไปสัมผัสด้วยตัวเอง
ภานุพงศ์ นรเศรษฐกมล (นุ)
เริ่มถ่ายภาพในช่วงมัธยม และการได้ไปฝึกงานที่ จ.ภูเก็ต สมัยเรียนสถาปัตย์ฯ จุฬา เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้สนใจโลกใต้ทะเล นุเรียนดำน้ำทันทีหลังเรียนจบ ก่อนได้งานเป็นไดฟ์มาสเตอร์บนเรือในทะเลไทย ความหลงรักโลกใต้ทะเลทำให้ทิ้งทุกอย่างไปใช้เวลาในทะเลอินโดนีเซียอยู่หลายปี จนหาจุดเชื่อมของสิ่งที่รักด้วยการเป็นช่างภาพใต้น้ำบนเรือที่ทำงานเสียเลยปัจจุบันเจ้าตัวยังเปิดเพจไว้ติดตามผลงานภาพ และวิดีโอใต้น้ำและธรรมชาติ ในชื่อ Nu Parnupong Photography ด้วย
กมลรัตน์ ตรงรัตนวงศ์ (โน้ต)
โลกใต้น้ำคือจุดเริ่มต้นของความเป็นโน้ตในวันนี้ เธอให้รางวัลตัวเองหลังเรียนจบด้วยการล่องใต้เพื่อไปเรียนดำน้ำ ซึ่งเป็นฝันวัยเยาว์ของเด็กสาวตัวกรำแดด ที่โดนบังคับว่ายน้ำวันละ 2 มื้อในช่วงเปิดเทอม และจะเพิ่มเป็น 3 มื้อครึ่งในช่วงปิดเทอม ด้วยความรักอิสระ สันโดษ เสพติดการเดินทาง (แต่เกลียดการจัดกระเป๋า) หลงเสน่ห์สิ่งมีชีวิตอื่นๆ ที่ไม่ใช่มนุษย์ และสรรพสิ่งมหัศจรรย์บนโลกนี้ที่ทำให้เธอเดินทางผ่านซีกโลกเหนือจรดซีกโลกใต้ครบทั้ง 7 ทวีปเมื่อปีที่ผ่านมา ผลพลอยได้จากการทำสิ่งที่ตัวเองหลงใหลได้ถูกตีพิมพ์ลงบนสื่อ ล่องลอยอยู่ในโลกออนไลน์ และแขวนบนบอร์ดนิทรรศการอยู่บ้าง โดยมีผลงานรวมเอาไว้ที่ www.nanagonana.com ให้ได้ติดตาม
พลพิชญ์ คมสัน(เอ้)
ฉายแววความเข้ารกเข้าพงมาตั้งแต่สมัยเรียนสถาปัตย์ จุฬาฯ ชอบหนีเรียนไปเข้าป่า เคยติดไฟป่ากลางทุ่งแสลงหลวง เพราะมัวแต่ถ่ายรูปไม่รู้เรื่อง เคยติดป่าอุ้มผางอยู่หลายวันเพราะเข้าไปถ่ายรูปน้ำตกทีลอซู แล้วนึกว่าจะมีรถสาธารณะออกมาง่ายๆ จนเขตฯ ต้องส่งรถ 4WD เข้าไปช่วย หลังจบมาเป็นสถาปนิกก็ชอบเอาเวลาว่างระหว่างการตรวจไซต์งานหนีเข้าป่าจนปี 2543 ก็ลองเรียนดำน้ำแล้วจริงจังถึงขั้นเลยเถิด เลิกเป็นสถาปนิกหันมาเริ่มถ่ายภาพใต้น้ำในปี 2545 และทำสื่อเกี่ยวกับการดำน้ำตั้งแต่นิตยสาร webboard มาจน Blog และกลายเป็น Social Media ในปัจจุบัน
ชุตินันท์ โมรา (มีน)
มีนเกิดเดือนมีนา ราศีที่ว่ากันว่าต้องพัวพันกับน้ำชีวิตถึงจะได้ดี ชีวิตเลยตัดห่างจากทะเลไม่ขาด ทุกวันนี้ยังไม่แน่ใจว่าชีวิตดีรึยัง แต่ก็มีความสุขดีกับการได้เอาเรื่องของทะเลมาเล่าต่อให้คนอื่นฟังอยู่เรื่อยๆ เรียนจบมาทางสายศิลปะ ไม่ใช่นักวิทยาศาสตร์ แต่ก็มีความเนิร์ด ชื่นชอบสาขาชีววิทยาอยู่พอสมควร ขนาดที่เดินดูพิพิธภัณฑ์ที่มีโหลดองสัตว์ได้ยาวนานตลอดทั้งวัน และกรีดร้องตื่นเต้นกับฟันของนาร์วาล
สิริพรรณี สุปรัชญา (น้อยหน่า)
สมาชิกคนล่าสุดของทีม น้อยหน่าเริ่มดำน้ำตั้งแต่อายุ 15 แล้วออกทะเลไปยังไม่กลับ แต่ยุ่งเกี่ยวกับธรรมชาติมานานกว่านั้น ทำงานด้านสื่อแฟชั่น ภาษา และการตลาดเป็นฉากบังหน้าแล้วแปลงร่างเป็นคนเขียนบทความ และวิเคราะห์ข่าวสิ่งแวดล้อม กับทำเพจเกี่ยวกับชีวิตสัตว์โลกในยามราตรี มีความสามารถในการกิน รังแกอินโทรเวิร์ท และเที่ยวในที่แปลกๆ (เคยไปเกาหลีเหนือกับเขตขั้วโลกเหนือแล้ว แต่ยังไม่เคยไปเกาหลีใต้กับเขตขั้วโลกใต้) ปีหน้าอาจจะมีผลงานหนังสือประเด็นสิ่งแวดล้อมร่วมกับนักเศรษฐศาสตร์ ทักทายกันได้ที่ไอจี @selfcircled