วันนี้ที่รอคอย! Fed เริ่มส่งสัญญาณชะลอการขึ้นดอกเบี้ย หนุนตลาดหุ้นเริ่มฟื้น?

ช่วงกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นสหรัฐฯ กลับมาปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยดัชนี Dow Jones ปิดบวก 700 จุด หรือ +2.18% เช่นเดียวกับดัชนี S&P500 และ Nasdaq ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นกว่า 3% ขานรับถ้อยแถลงของนาย Jerome Powell ประธานกลางธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ Fed ที่ส่งสัญญาณการชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนธันวาคมหลังตัวเลข เงินเฟ้อ ล่าสุดปรับลดลงมากกว่าคาด สะท้อนว่าอัตราดอกเบี้ยของ Fed กำลังเข้าใกล้ระดับเป้าหมายที่เพียงพอต่อการควบคุมอัตราเงินเฟ้อให้ชะลอตัวลง อย่างไรก็ดี Powell ได้ระบุว่าการต่อสู้กับเงินเฟ้อยังคงไม่สิ้นสุดในเร็ววันนี้ และยังไม่สามารถตอบได้ว่าอัตราดอกเบี้ยจะขึ้นไปแตะระดับสูงสุดที่ระดับใดและเมื่อไร สอดคล้องกับความเห็นของ James Bullard ประธาน Fed สาขาเซนต์หลุยส์และ John Williams ประธาน Fed สาขานิวยอร์ก ที่ระบุว่า Fed ยังจำเป็นต้องขึ้นดอกเบี้ยหลังจากนี้ โดยตัวเลขเงินเฟ้อจะยังคงเป็นปัจจัยสำคัญต่อการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย

ทั้งนี้ นักวิเคราะห์ต่างประเมินความน่าจะเป็นว่า Fed จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.5% สูงถึงเกือบ 80% ในการประชุมเดือนธันวาคมนี้ ซึ่งจะทำให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายขึ้นไปแตะ 4.25%-4.5% น้อยกว่าที่เคยปรับขึ้น 0.75% ติดต่อกันก่อนหน้านี้ อีกทั้งดัชนีชี้วัดต่างๆ ที่บ่งบอกว่า Fed จะขึ้นดอกเบี้ยต่อไปหลังจากนี้ เริ่มส่งสัญญาณชะลอลง เช่น ความแตกต่างระหว่างอัตราผลตอบแทนที่คาดว่าจะได้รับจากตั๋วเงินคลัง 3 เดือนในอีก 18 เดือนข้างหน้ากับผลตอบแทนของตั๋วเงินคลังปัจจุบันที่เริ่มติดลบลดลง นอกเหนือจากนี้ 2 ปัจจัยหลักที่ Fed ใช้พิจารณาทิศทางนโยบายทางการเงิน ได้แก่ เสถียรภาพด้านราคา (Stable Prices) ซึ่งจะพิจารณาจากตัวเลขเงินเฟ้อ และตัวเลขการจ้างงาน (Employment) ซึ่งจะพิจารณาจากตัวเลขในตลาดแรงงานก็เริ่มส่งสัญญาณอ่อนตัวลงเช่นกัน

ความแตกต่างระหว่างอัตราผลตอบแทนที่คาดว่าจะได้รับจากตั๋วเงินคงคลัง 3 เดือนในอีก 18 เดือนข้างหน้ากับผลตอบแทนของตั๋วเงินคงคลังปัจจุบันปรับตัวลดลง

ที่มา : Bloomberg

ตัวเลขตลาดแรงงานส่งสัญญาณชะลอตัว

ข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ Fed ให้ความสำคัญ โดยการเปิดรับสมัครงานและอัตราการหมุนเวียนของแรงงาน (JOLTS) ซึ่งสามารถวัดภาวะตึงตัวในตลาดแรงงาน ล่าสุดอยู่ที่ 10.3 ล้านตำแหน่ง ลดลง 353,000 ตำแหน่งจากเดือนก่อนหน้า และเคลื่อนไหวในทิศทางลงจากจุดสูงสุดเมื่อเดือนพฤษภาคม นอกจากนี้ ตัวเลขการจ้างงานของภาคเอกชนสหรัฐฯ (ADP Employment) ที่ล่าสุดเพิ่มขึ้นเพียง 127,000 ตำแหน่ง ต่ำที่สุดในรอบเกือบ 2 ปี และน้อยกว่าที่ตลาดคาด สะท้อนถึงตลาดแรงงานมีแนวโน้มลดความร้อนแรงลง แม้ว่าก่อนหน้านี้ Powell จะเคยกล่าวว่า ตลาดแรงงานยังไม่สมดุลจากการขาดแคลนแรงงานที่ต้องการกลับเข้ามาทำงานหลังช่วงการแพร่ระบาด สะท้อนผ่านอัตราการมีส่วนร่วมของแรงงาน (Laborforce Participation) ที่ยังต่ำกว่าระดับก่อน Covid-19 รวมถึงอัตราค่าจ้างยังอยู่ในระดับสูงเกินกว่าที่จะสอดคล้องกับระดับเป้าหมายเงินเฟ้อที่ 2%

ทั้งนี้ นักลงทุนต่างจับตาตัวเลขสำคัญ อย่างเช่น การจ้างงานนอกภาคการเกษตร อัตราการว่างงานและค่าจ้างรายชั่วโมง ซึ่งการส่งสัญญาณชะลอตัวลงในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมาของตัวเลขเหล่านี้ คาดว่าเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้ Fed ชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในระยะข้างหน้า

จับตาปัจจัยหนุนเงินเฟ้อ ราคาพลังงาน และอสังหาฯ

ถึงแม้ว่าตัวเลข เงินเฟ้อ และเงินเฟ้อพื้นฐานของสหรัฐฯ ล่าสุดจะเริ่มชะลอตัวลงและน้อยกว่าที่นักวิเคราะห์คาด แต่สาเหตุหลักมาจากราคาพลังงานที่ปรับตัวลง ซึ่งมีส่วนจากความกังวลในเศรษฐกิจจีนและความไม่ชัดเจนในการกำหนดเพดานราคานำเข้าน้ำมันดิบจากรัสเซียของประเทศมหาอำนาจ รวมถึงราคาหมวดสินค้าหลักอย่างรถยนต์มือสองและเสื้อผ้าที่ปรับลง แต่หากดูราคาค่าเช่าที่พัก (Shelter) ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนหลักราว 1 ใน 3 ของน้ำหนักตะกร้าเงินเฟ้อยังทรงตัวอยู่ในระดับสูง ถึงแม้ว่าค่าเช่าอสังหาฯ ในบางประเภทอย่างเช่น กลุ่มอพาร์ทเมนท์จะเริ่มชะลอลงแล้วก็ตาม

ทั้งนี้ นักวิเคราะห์คาดว่า แม้เงินเฟ้อสหรัฐฯ จะส่งสัญญาณชะลอลงในปี 2023 จากราคาอาหารและพลังงานที่ลดลง รวมถึงราคาวัตถุดิบในห่วงโซ่อุปทานที่จะเริ่มคลี่คลาย หากแต่ราคาในกลุ่ม Shelter ยังทรงตัวอยู่ในระดับสูง ก็อาจทำให้โอกาสที่ตัวเลขเงินเฟ้อของสหรัฐฯ จะกลับเข้าสู่ระดับเป้าหมายของ Fed เป็นไปได้ช้าลง

ราคาพลังงานเริ่มปรับตัวลดลง ในขณะที่ค่าเช่าที่พักยังคงทรงตัวในระดับสูง

ที่มา : LGT

แม้ถ้อยแถลงของประธาน Fed จะยังไม่แสดงออกชัดเจนว่าถึงเวลาที่ Fed จะเริ่มปรับเปลี่ยนทิศทางนโยบายการเงิน ซึ่ง Fed ยังคงย้ำว่าการต่อสู้กับ เงินเฟ้อ คงยังไม่สิ้นสุดในเร็ววันนี้ อีกทั้ง ยังต้องการหลักฐานเพิ่มเติมเพื่อให้มั่นใจกว่าเงินเฟ้อชะลอลงแล้วอย่างแท้จริง รวมถึงมองว่าแนวโน้มของเงินเฟ้อในระยะข้างหน้ายังคงไม่แน่นอน แต่การที่ประธาน Fed เริ่มกล่าวถึงการชะลออัตราในการเร่งขึ้นดอกเบี้ย ส่งผลให้ตลาดหุ้นสามารถฟื้นตัวได้ในระยะสั้น

อย่างไรก็ดี จะได้เห็นทิศทางการดำเนินนโยบายของ Fed อย่างชัดเจนอีกครั้งผ่านการประชุมครั้งต่อไปในวันที่ 13-14 ธันวาคม นี้ ซึ่งจะมีการคาดการตัวเลขเศรษฐกิจ และให้ความเห็นถึงมุมมองอัตราดอกเบี้ยระยะยาว (Fed Dot Plot) โดยตอนนี้ ตลาดได้เริ่มสะท้อนอัตราดอกเบี้ยสูงสุดในปีหน้าที่ระดับ 4.75%-5.00% ซึ่งถ้าหากผลการประชุมไม่ได้ออกมา Hawkish มากกว่านี้ก็มีโอกาสที่ในปีนี้จะได้เห็น Santa Claus Rally กลับมาอีกครั้ง

ที่มา : Bloomberg, LGT, CNBC, ESU

ข้อมูล บทความ บทวิเคราะห์ และการคาดหมาย รวมทั้งการแสดงความคิดเห็นทั้งหลายที่ปรากฏอยู่ในรายงานฉบับนี้ทำขึ้นบนพื้นฐานของแหล่งข้อมูลที่ดีที่สุดที่ได้รับมา และพิจารณาแล้วเห็นว่า น่าเชื่อถือ แต่ทั้งนี้ไม่อาจรับรองความถูกต้อง ความสมบูรณ์ แท้จริงของข้อมูลดังกล่าว ความเห็นที่แสดงไว้ในรายงานฉบับนี้ได้มาจากการพิจารณาโดยเหมาะสม และรอบคอบแล้ว และอาจเปลี่ยนแปลงได้โดยไม่จำเป็นต้องแจ้งล่วงหน้าแต่อย่างใด บทความ บทวิเคราะห์ และการคาดหมายทั้งหลายที่ปรากฏ อยู่ในรายงานฉบับนี้เป็นการนำไปใช้โดยผู้ใช้ยอมรับความเสี่ยง และเป็นดุลยพินิจของผู้ใช้แต่เพียงผู้เดียว

ติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ บลจ.ทิสโก้ หรือ TISCO Contact Center โทร. 0 -2633-6000 กด 4 0-2080-6000 กด 4 และ tiscoasset หรือแอปพลิเคชัน TISCO My Funds