MONEY AND STOCK MARKET วันที่ 12-16 ธันวาคม 2565

MONEY AND STOCK MARKET วันที่ 12-16 ธันวาคม 2565

เงินบาทอ่อนค่าหลังผลเฟด ขณะที่หุ้นไทยย่อตัวลงต่อเนื่องจากสัปดาห์ก่อน

•    เงินบาทเคลื่อนไหวผันผวน และกลับมาอ่อนค่าหลังผลประชุมเฟด ซึ่งยังคงท่าทีคุมเข้มนโยบายการเงินเพื่อสกัดแรงกดดันเงินเฟ้อสหรัฐฯ
•    SET Index ปรับตัวลงตามทิศทางตลาดหุ้นต่างประเทศ หลังเฟดส่งสัญญาณปรับขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่อง ประกอบกับตลาดกังวลทิศทางเศรษฐกิจโลก
 

สรุปความเคลื่อนไหวของค่าเงินบาท

เงินบาทผันผวนและกลับมาอ่อนค่าหลังผลประชุมเฟด แม้จะพลิกแตะระดับแข็งค่าสุดในรอบ 6 เดือนระหว่างสัปดาห์ ทั้งนี้ เงินบาททยอยแข็งค่าขึ้นตามทิศทางสกุลเงินอื่นๆ ในภูมิภาคในช่วงก่อนการประชุมเฟดท่ามกลางแรงหนุนจากสัญญาณผ่อนปรนมาตรการควบคุมโควิดของทางการจีน ประกอบกับมีกระแสการคาดการณ์ว่า เฟดมีแนวโน้มที่จะชะลอขนาดการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย หลังตัวเลขเงินเฟ้อของสหรัฐฯ ออกมาต่ำกว่าที่คาด นอกจากนี้การแข็งค่าของเงินบาทยังสอดคล้องกับแรงซื้อสุทธิพันธบัตรไทยของนักลงทุนต่างชาติด้วยเช่นกัน 

อย่างไรก็ดี เงินบาทกลับมาเผชิญแรงขายตามสกุลเงินส่วนใหญ่ในเอเชีย หลังข้อมูลเศรษฐกิจจีนเดือนพ.ย. อ่อนแอกว่าที่คาด สวนทางเงินดอลลาร์ฯ ที่ทยอยฟื้นตัวขึ้นหลังเฟดยังคงส่งสัญญาณขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องในปี 2566 เนื่องจากแรงกดดันเงินเฟ้อยังอยู่ในระดับสูง โดยในการประชุม FOMC รอบเดือนธ.ค. นี้ มุมมองต่อดอกเบี้ยในปีหน้าจากเจ้าหน้าที่เฟดที่สะท้อนผ่าน dot plot ได้ขยับสูงขึ้นไปที่ 5.1% ซึ่งสูงกว่ามุมมองเดิมที่ 4.6% ในเดือนก.ย. นอกจากนี้เฟดก็ได้มีการปรับขึ้นตัวเลขคาดการณ์เงินเฟ้อในปีหน้าขึ้นด้วยเช่นกัน
 

MONEY AND STOCK MARKET วันที่ 12-16 ธันวาคม 2565

ในวันศุกร์ที่ 16 ธ.ค. 2565 เงินบาทปิดตลาดที่ระดับ 34.95 บาทต่อดอลลาร์ฯ เทียบกับระดับ 34.80 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในวันศุกร์ก่อนหน้า (9 ธ.ค.) สำหรับสถานะพอร์ตการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติระหว่างวันที่ 13-16 ธ.ค. 2565 นั้น นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิหุ้นไทย 3,188 ล้านบาท และมีสถานะเป็น Net Inflows เข้าตลาดพันธบัตรไทยถึง 7,845 ล้านบาท (ซื้อสุทธิ 8,245 ล้านบาท หักตราสารหนี้ที่หมดอายุ 400 ล้านบาท)
 

สัปดาห์ถัดไป (19-23 ธ.ค.) ธนาคารกสิกรไทยมองกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทที่ระดับ 34.50-35.10 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ทิศทางเงินทุนต่างชาติ ค่าเงินหยวนและสกุลเงินเอเชีย และตัวเลขการส่งออกของไทยในเดือนพ.ย. ขณะที่ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ได้แก่ ดัชนีตลาดที่อยู่อาศัย ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนธ.ค. ตัวเลขการเริ่มสร้างบ้าน ยอดขายบ้านมือสอง ยอดขายบ้านใหม่ ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทน ข้อมูลรายได้และการใช้จ่ายส่วนบุคคล และอัตราเงินเฟ้อที่วัดจาก PCE/Core PCE Price Index เดือนพ.ย. จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ และจีดีพีไตรมาส 3/65 (final) นอกจากนี้ตลาดยังรอติดตามผลการประชุม BOJ และการประกาศอัตราดอกเบี้ย LPR ของจีนด้วยเช่นกัน

 

สรุปความเคลื่อนไหวตลาดหุ้นไทย

ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงในช่วงครึ่งหลังของสัปดาห์ ทั้งนี้ SET Index ขยับขึ้นช่วงต้นถึงกลางสัปดาห์ ตามแรงซื้อของกลุ่มนักลงทุนสถาบันในประเทศและนักลงทุนต่างชาติ ประกอบกับมีแรงหนุนจากตัวเลขเงินเฟ้อเดือนพ.ย.ของสหรัฐฯ ที่ออกมาต่ำกว่าตลาดคาด อย่างไรก็ดี หุ้นไทยย่อตัวลงในช่วงที่เหลือของสัปดาห์ตามทิศทางตลาดหุ้นต่างประเทศ หลังการประชุมเฟดเสร็จสิ้นลง โดยแม้เฟดจะลดขนาดการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายตามคาด แต่ได้ส่งสัญญาณว่าจะปรับขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องในปี 2566 ประกอบกับนักลงทุนมีความกังวลเกี่ยวกับทิศทางเศรษฐกิจโลก ซึ่งกระตุ้นแรงขายในหุ้นทุกอุตสาหกรรม โดยเฉพาะพลังงาน ไฟแนนซ์ และเทคโนโลยี

MONEY AND STOCK MARKET วันที่ 12-16 ธันวาคม 2565

ในวันศุกร์ (16 ธ.ค.) ดัชนี SET ปิดที่ระดับ 1,619.01 จุด ลดลง 0.25% จากระดับปลายสัปดาห์ก่อน ขณะที่มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 59,325.77 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12.00% จากสัปดาห์ก่อน ส่วนดัชนี mai ลดลง 1.78% มาปิดที่ระดับ 571.03 จุด     
 

สำหรับสัปดาห์ถัดไป (19-23 ธ.ค.) บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย จำกัด มองว่า ดัชนีหุ้นไทยมีแนวรับที่ 1,610 และ 1,600 จุด ขณะที่แนวต้านอยู่ที่ 1,640 และ 1,650 จุด ตามลำดับ โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ มาตรการของขวัญปีใหม่จากรัฐบาล ทิศทางเงินทุนต่างชาติ รวมถึงสถานการณ์โควิดในจีน ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ได้แก่ ข้อมูลการเริ่มสร้างบ้านใหม่ ยอดขายบ้านใหม่ ยอดขายบ้านมือสอง รายได้และรายจ่ายส่วนบุคคล ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทน ดัชนี PCE/Core PCE Price Index เดือนพ.ย.และจีดีพีไตรมาส 3/65  ขณะที่ปัจจัยต่างประเทศอื่นๆ ได้แก่ การประชุม BOJ ดัชนีราคาผู้บริโภคเดือนพ.ย. ของญี่ปุ่น การกำหนดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ LPR เดือนธ.ค. ของจีน รวมถึงจีดีพีไตรมาส 3/65 ของอังกฤษ