เจาะ 10 คำถามสำคัญ อะไรจะเกิดขึ้น เมื่อจีนผ่อนคลายนโยบาย Zero COVID

เจาะ 10 คำถามสำคัญ อะไรจะเกิดขึ้น เมื่อจีนผ่อนคลายนโยบาย Zero COVID

พาไปเจาะ 10 คำถามสำคัญ อะไรจะเกิดขึ้นกับประเทศจีน หลังมาตรการ Zero COVID ถูกผ่อนคลายลง ส่วนจะมีคำถามอะไรบ้างติดตามอ่านได้จากบทความนี้

หลังจาก 3 ปีที่ชาวจีนต้องเผชิญกับมาตรการล็อกดาวน์ครั้งแล้วครั้งเล่า ในที่สุดทางการจีนก็ออกมาตรการผ่อนปรนนโยบาย Zero COVID และเดินหน้าไม่ต่างจากประเทศอื่นๆ ทั่วโลกที่จะใช้ชีวิตร่วมกับโควิด โดยช่วงระยะเวลา 3-6 เดือนต่อจากนี้ จีนน่าจะต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนหลังจากทำการเปิดเมืองไม่ต่างจากประเทศอื่นๆ ทั่วโลกที่เคยมีประสบการณ์ในช่วงเริ่มแรกของการกลับมาเปิดเมือง นอกจากนี้ ด้วยจำนวนประชากรที่มากกว่าประเทศอื่นๆ รวมถึงผลกระทบที่จะเกิดกับเศรษฐกิจโลกหากเกิดอะไรขึ้นกับประเทศจีน คำถามสำคัญที่ทั่วโลกอยากรู้ต่อจากนี้ก็คือ อะไรจะเกิดขึ้นกับประเทศจีนต่อไปหลังจากมาตรการ Zero COVID ถูกผ่อนคลายลง โดยบทความฉบับนี้จะเรียบเรียงคำถามและคำตอบสำคัญ ที่สำนักข่าว Bloomberg ทำการสัมภาษณ์ความเห็นของ Michelle Cortez ผู้สื่อข่าวที่ติดตามข่าวสารด้าน global healthcare อย่างใกล้ชิด รวมถึง Colum Murphy ผู้สื่อข่าวอาวุโสที่รับผิดชอบดูแลข่าวสารด้านประเทศจีนของ Bloomberg

1. เมื่อไหร่ที่จำนวนผู้ติดเชื้อจะเพิ่มขึ้นสู่จุดสูงสุด?

หากดูจากทิศทางจำนวนผู้ติดเชื้อของประเทศอื่นๆ ทั่วโลก หลังจากทำการผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ จำนวนผู้ติดเชื้อจะเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณหลังจากผ่านไป 3-4 สัปดาห์ ก่อนที่จำนวนผู้ติดเชื้อจะเริ่มกลับมาสู่ระดับปกติหลังจากนั้น ซึ่งผู้ชำนาญด้านสุขภาพหลายคนที่ให้ข้อมูลกับ Bloomberg ก็ได้ให้ความเห็นว่า เหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นกับประเทศจีนคงไม่ต่างกันมากนัก ซึ่งนั่นก็หมายความว่า ราว 1 เดือนหลังจากนี้ น่าจะเป็นช่วงที่จำนวนผู้ติดเชื้อในจีนเพิ่มขึ้นสู่จุดสูงสุด

2. เรามีโอกาสที่จะเห็นจำนวนผู้ติดเชื้อกลับมาเพิ่มสูงขึ้นอีกครั้งและการแพร่ระบาดจะกระจายเป็นวงกว้างมากขึ้นสู่เมืองต่างๆ หรือไม่?

เหตุการณ์ดังกล่าวได้เกิดขึ้นแล้วกับประเทศต่างๆ ทั่วโลกที่ทำการคลายมาตรการ จำนวนผู้ติดเชื้อจะเพิ่มสูงขึ้นและภาครัฐจะใช้ความพยายามในการควบคุมการแพร่ระบาดอีกครั้ง อย่างไรก็ดีแต่ละพื้นที่ทั่วโลกใช้กฎเกณฑ์ที่แตกต่างกัน นอกจากนี้ จำนวนการฉีดวัคซีนที่แต่ละประเทศไม่เท่ากัน รวมถึงกฎเกณฑ์ในการควบคุมการเดินทางก็ไม่เท่ากัน ซึ่งนั่นจะเป็นปัจจัยที่บ่งชี้ว่าจำนวนผู้ติดเชื้อจะกลับมาเพิ่มสูงขึ้นมากแค่ไหน ซึ่งถ้าจีนยังคงบังคับใช้กฎเกณฑ์ที่ออกมาใหม่ อย่างสม่ำเสมอและเร่งฉีดวัคซีนให้อยู่ในอัตราใกล้เคียงกับประเทศอื่นๆ ทั่วโลก การแพร่ระบาดก็น่าจะสามารถควบคุมได้ไม่ต่างจากประเทศอื่นๆ

3. การที่จีนผ่อนปรนนโยบาย Zero COVID หลังจากมีเหตุการณ์ประท้วง จะทำให้มีความเสี่ยงที่จะเกิดเหตุการณ์ประท้วงในประเด็นอื่นๆ ของประชาชนอีกหรือไม่?

ถึงแม้ทางการจีนจะไม่เคยออกมาเอ่ยถึงเหตุผลของการผ่อนปรนมาตรการว่ามาจากเหตุการณ์ประท้วง โดยที่ทางการจีนให้เหตุผลหลักด้วยการให้ข้อมูลกับประชาชนว่าเป็นเพราะโรค COVID-19 สายพันธุ์ Omicron มีความรุนแรงลดลง แต่หลายฝ่ายต่างก็ทราบดีว่าเหตุการณ์ประท้วงเป็นหนึ่งในแรงกดดันสำคัญที่มีผลต่อการตัดสินใจของรัฐบาลจีน ซึ่งหลังจากนี้ก็มีความเป็นไปได้ที่การประท้วงเพื่อเรียกร้องเสรีภาพในการแสดงความเห็นของประชาชนอาจเกิดขึ้นได้อีก

4. จีนต้องเผชิญความท้าทายอย่างมากกับการกลับมาเปิดเมือง โดยเฉพาะความคาดหวังของประชาชน จีนจะจัดการประเด็นนี้อย่างไร

รัฐบาลจีนใช้สื่อของทางการในการสื่อสารกับประชาชน โดยหลังจากนี้ความท้าทายที่รัฐบาลต้องเผชิญคือ การเปลี่ยนแปลงนโยบายที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ที่ก่อนหน้านี้สื่อของรัฐพึ่งจะทำการยกย่องนโยบาย Zero COVID แต่หลังจากนั้นไม่นานก็ต้องมาสื่อสารถึงการเปลี่ยนแปลงของนโยบายอย่างกะทันหัน ดังนั้นเชื่อว่ารัฐบาลจีนอาจจะต้องเจอกับปัญหาความน่าเชื่อถือหลังจากนี้

5. รัฐบาลจีนจะเตรียมรับมือกับจำนวนผู้ติดเชื้อที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างไร

ทางการจีนมีการเตรียมความพร้อมเป็นอย่างดี โดยมีการเตรียมการได้อย่างชาญฉลาดก่อนหน้านี้ เช่น การเตรียมการสร้างศูนย์ Healthcare ขึ้นใหม่เพื่อรองรับประชาชนที่มีอาการป่วยและเป็นการแบ่งเบาภาระของโรงพยาบาลที่อาจจะต้องรองรับประชาชนจำนวนมากหลังจากนี้ แต่สิ่งที่ทางการจีนจะรับมือได้ยากกว่า น่าจะเป็นทัศนคติที่มีต่อโรคของประชาชนหลังจากที่เผชิญต่อการเกรงกลัว COVID-19 มาเป็นระยะเวลากว่า 3 ปี ซึ่งการที่จะทำให้ประชาชนไม่ได้รู้สึกตกใจกลัวเมื่อพบว่า การติดเชื้อเป็นสิ่งที่ทางการจีนจะต้องเร่งทำต่อจากนี้

6. ปัจจุบันจีนใช้วัคซีนอะไร และมีผลจัดการกับสายพันธุ์ Omicron อย่างไร

จีนยังคงใช้วัคซีนเชื้อตายคือ Sinovac, Biotech และ Sinopharm ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่เก่ากว่า mRNA วัคซีนจากบริษัทสัญชาติตะวันตกอย่าง Pfizer, BioNTech และ Moderna ซึ่งจากงานวิจัยพบว่าการรับวัคซีนเพียงเข็มเดียวมีประสิทธิภาพน้อยกว่าวัคซีน mRNA แต่การรับวัคซีน 3 เข็มจะช่วยทำให้ลดความเสี่ยงจากอาการเจ็บป่วยรุนแรงและอัตราการเสียชีวิตได้ โดยข่าวดีที่สุดของจีนคือวัคซีนสูดดม CanSino ที่อาจช่วยป้องกันการติดเชื้อได้ ไม่เฉพาะแต่ป้องกันอาการเจ็บป่วยและเสียชีวิตเท่านั้น 

7. เราจะทราบสถานการณ์การแพร่ระบาดที่แท้จริงในจีนได้อย่างไร หากสื่อจากทางการนำเสนอข่าวแต่เพียงบางส่วน

คงเป็นไปได้ยากที่จะอาศัยสื่อของทางการในการติดตามข้อมูลข่าวสารแต่เพียงอย่างเดียว ซึ่งนักข่าวจาก Bloomberg ต้องอาศัยแหล่งข่าวจากคนรู้จักที่อาศัยอยู่ในจีน ซึ่งมีทั้งเพื่อน ญาติ และบริษัทที่ Bloomberg มีความสัมพันธ์ รวมถึงการติดตาม social media ในจีน ซึ่งการติดตามข้อมูลข่าวสารจากจีนจำเป็นต้องอาศัยวิธีการที่สร้างสรรค์เหล่านี้ในการช่วยค้นหาข้อมูล

8. มีความเสี่ยงหรือไม่ที่การแพร่ระบาดในจีนจะทำให้เกิดไวรัสสายพันธุ์ใหม่และแพร่กระจายไปทั่วโลก

นี่คงเป็นคำถามสำคัญที่ผู้ชำนาญการด้านสุขภาพทั่วโลกกำลังเฝ้าจับตาดู เพราะมันอาจมีผลกระทบกับประเทศต่างๆ ทั่วโลก ความเสี่ยงนี้คือความเสี่ยงที่มีอยู่จริง เพราะก่อนหน้านี้จำนวนผู้ติดเชื้อในจีนถือว่าไม่สูงเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ทั่วโลก ทำให้ยังไม่มีการกลายพันธุ์ในไวรัสที่มีการติดเชื้อในประชากรจีน ซึ่งความน่ากลัวที่สุดคือ หากเกิดการกลายพันธุ์เป็นสายพันธุ์ใหม่อาจจะมีการแพร่ระบาดได้ง่ายขึ้น และหลีกเลี่ยงภูมิคุ้มกันได้ดีกว่าเดิม โดยเราทุกคนต้องภาวนาให้เหตุการณ์นี้ไม่เกิดขึ้น

9. จากคำถามในข้อแรกที่คาดว่าจำนวนผู้ติดเชื้อจะเพิ่มสูงสุด น่าจะเป็นช่วงที่ตรงกับเทศกาลตรุษจีนพอดี และเป็นช่วงที่ชาวจีนมีการเดินทางสูงมาก จะทำให้สถานการณ์แพร่ระบาดในจีนเลวร้ายลงหรือไม่

ความเสี่ยงที่จะเกิดการแพร่ระบาดจำนวนมากใน เทศกาลตรุษจีน ถือว่ามีอยู่จริง และในปี 2023 เทศกาลตรุษจีนจะเกิดขึ้นเร็วในช่วงตั้งแต่ปลายเดือนมกราคม โดยที่ประเทศต่างๆ มักจะพบผู้ติดเชื้อเพิ่มสูงขึ้นในช่วงเทศกาลวันหยุดเช่นเดียวกัน ซึ่งการเตรียมความพร้อมในการจัดการกับปัญหานี้ถือว่าเป็นสิ่งที่จำเป็น ซึ่งน่าจะเป็นสิ่งที่ดีและลดความเสี่ยงได้หากทางการจีนกลับมาเข้มงวดมาตรการในช่วงดังกล่าวและจำกัดการเดินทางเหมือนที่ทำในปี 2020 แต่สุดท้ายแล้วก็อาจจะเป็นชาวจีนเองที่เลือกจะไม่เดินทางในช่วงดังกล่าวเพื่อความปลอดภัยของครอบครัว

10. นานเท่าไหร่ถึงการใช้ชีวิตในจีนจะกลับมาเป็นปกติเหมือนกับในสหรัฐฯ ยุโรป หรือสิงคโปร์

ในความเป็นจริงแล้วหากจำนวนผู้ติดเชื้อแตะระดับสูงสุดในช่วงไตรมาสแรกปี 2023 ตามที่คาดการณ์ในช่วงฤดูร้อนจีนน่าจะทำการเปิดประเทศให้กับชาวต่างชาติมากขึ้น แต่น่าจะยังต้องใช้เวลาในการที่สายการบินระหว่างประเทศจะกลับมาบริหารจัดการให้มีเที่ยวบินเดินทางมายังจีนเหมือนในช่วงปกติ โดยที่อาจจะเป็นในช่วงฤดูใบไม้ร่วงในปี 2023 แต่คาดว่าถ้าเป็นเฉพาะสถานการณ์ในจีนเองทุกอย่างน่าจะกลับมาเป็นปกติได้เร็วกว่านั้นนักข่าวจาก Bloomberg เองก็กำลังเฝ้ารออย่างใจจดใจจ่อกับการที่จะได้เดินทางกลับไปยังประเทศจีนและทำการรายงานข่าวเกี่ยวกับจีนได้มากยิ่งขึ้น

ที่มา : Bloomberg

ข้อมูล บทความ บทวิเคราะห์ และการคาดหมาย รวมทั้งการแสดงความคิดเห็นทั้งหลายที่ปรากฏอยู่ในรายงานฉบับนี้ทำขึ้นบนพื้นฐานของแหล่งข้อมูลที่ดีที่สุดที่ได้รับมา และพิจารณาแล้วเห็นว่า น่าเชื่อถือ แต่ทั้งนี้ไม่อาจรับรองความถูกต้อง ความสมบูรณ์ แท้จริงของข้อมูลดังกล่าว ความเห็นที่แสดงไว้ในรายงานฉบับนี้ได้มาจากการพิจารณาโดยเหมาะสม และรอบคอบแล้ว และอาจเปลี่ยนแปลงได้โดยไม่จำเป็นต้องแจ้งล่วงหน้าแต่อย่างใด บทความ บทวิเคราะห์ และการคาดหมายทั้งหลายที่ปรากฏ อยู่ในรายงานฉบับนี้เป็นการนำไปใช้โดยผู้ใช้ยอมรับความเสี่ยง และเป็นดุลยพินิจของผู้ใช้แต่เพียงผู้เดียว

ติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ บลจ.ทิสโก้ หรือ TISCO Contact Center โทร. 0 -2633-6000 กด 4 0-2080-6000 กด 4 และ tiscoasset หรือแอปพลิเคชัน TISCO My Funds