Non-Bank Sector หาผู้ชนะในภาวะการแข่งขันบนตลาดที่อิ่มตัว

Non-Bank Sector หาผู้ชนะในภาวะการแข่งขันบนตลาดที่อิ่มตัว

credit cost ที่เพิ่มขึ้นกดดันผลประกอบการใน 3Q65 ผลประกอบการของบริษัทในกลุ่ม non-bank ส่วนใหญ่ออกมาแย่กว่าที่คาดไว้

โดยกำไรรวมลดลง 4%QoQ แต่เพิ่มขึ้น 15% YoY ใน 3Q65 และเพิ่มขึ้น 9% ในงวด 9M65 โดยมีแนวโน้มที่สำคัญดังนี้ 1) สินเชื่อเร่งตัวขึ้นเกินกว่า 30% โดยเฉพาะบริษัทนอนแบงก์ขนาดใหญ่ ซึ่งได้แก่ MTC, SAWAD และ TIDLOR 2) yield สินเชื่อดีขึ้นประมาณ 70bps QoQ และ margin ดีขึ้นเนื่องจากต้นทุนทางการเงินเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยแค่ 20bps QoQ 3) รายได้ที่เพิ่มขึ้นจากสินเชื่อไม่พอที่จะชดเชยค่าใช้จ่ายในการตั้งสำรองที่เพิ่มขึ้นเร็วกว่ารายได้และสินเชื่ออย่างมาก ทั้งนี้ ค่าใช้จ่ายในการตั้งสำรองที่เพิ่มขึ้นสะท้อนว่า 1) การตั้งสำรองในอดีตต่ำเกินไป 2) NPL เร่งตัวขึ้น 3

 

NPL และ credit cost จะเพิ่มขึ้นต่อเนื่องไปจนถึงกลางปี 2566

ท่ามกลางสภาวะเศรษฐกิจที่กำลังฟื้นตัว กลุ่มนอนแบงก์ถูกกดดันจาก NPL ที่เพิ่มขึ้นโดยสาเหตุที่ทำให้ NPL มีความซับซ้อนมากขึ้น ได้แก่ 1) การฟื้นตัวที่เป็นไปอย่างไม่สม่ำเสมอ ทำให้ผู้มีรายได้น้อยต้องกู้เพิ่มมาใช้จ่ายในชีวิตประจำวันภายใต้สภาวะที่เงินเฟ้อสูง 2) การแข่งขันที่เข้มข้นมากขึ้นทำให้กลุ่ม nonbank รุกปล่อยสินเชื่อซึ่งทำให้ LTV สูงเกินไปที่ 70% (โดยยังมี P-Loan อีกต่างหาก) สำหรับในระยะต่อไป บริษัทขนาดใหญ่ในกลุ่มคาดว่า NPL จะเพิ่มขึ้นอีก และจะขึ้นไปถึงจุดสูงสุดในกลางปี 2566 ซึ่งหมายความว่าค่าใช้จ่ายสำรองฯ เพิ่มขึ้นตามไปด้วย

 

 

 

บริษัทนอนแบงก์ขนาดเล็กยังดูไม่น่าสนใจ

เราปรับลดประมาณการกำไรของ HENG ในปี 2566/2567 ลง 20%/18% (จากการปรับลด yield สินเชื่อ พร้อมทั้งปรับเพิ่มค่าใช้จ่ายสำรองฯ และต้นทุนทางการเงิน) และปรับลดประมาณการกำไรของ SAK ลง 5%/3% (จากการปรับเพิ่มค่าใช้จ่ายสำรองฯ) นอกจากนี้ เรายังปรับลดประมาณการกำไรของ SAWAD ลง 5%/2% เพื่อสะท้อนถึงค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานที่เพิ่มขึ้น ดังนั้นประมาณการกำไรปี 2566/2567 ของบริษัทในกลุ่มนอนแบงก์จะเติบโต 4%/16.6%

 

เราชอบ SAWAD และ TIDLOR

ราคาหุ้นของบริษัทนอนแบงก์ส่วนใหญ่หนักในช่วงหกเดือนที่ผ่านมาเพราะถูกกดดันจากความกังวล เรื่องคุณภาพสินทรัพย์, กฎเกณฑ์ทางการที่เข้มงวดมากขึ้น, และการแข่งขันที่เข้มข้น ทำให้ราคาหุ้นในกลุ่มไม่แพงและน่าสนใจมากขึ้นโดยคิดเป็น PE เพียง <15x เราคิดว่าการปล่อยกู้ให้ผู้บริโภคจะยังดำเนินต่อไปภายใต้วัฏจักรหนี้ครัวเรือน และสินเชื่อประเภทนี้ยังเป็นที่ต้องการของตลาด mass market ในกลุ่มผู้มีรายได้น้อย-ปานกลาง เรามองว่าภาวการณ์แข่งขันในตลาด red ocean จะทำให้บริษัทไม่แข่งขันไม่ได้ต้องออกจากตลาดไป ในขณะที่บริษัทที่จะเป็นผู้ชนะในตลาดนี้จำเป็นต้องเพิ่มส่วนแบ่งตลาดให้ได้ ซึ่ง
ณ จุดนี้ เราชอบ SAWAD เพราะกฎเกณฑ์การกำกับดูแลที่เปลี่ยนแปลงไปจะทำให้บริษัทได้ส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้น ในขณะที่เราชอบ TIDLOR จากการที่บริษัทสามารถเพิ่ม yield สินเชื่อได้โดยที่มีส่วนรองรับหนี้เสียอยู่ในระดับสูง

 

Risks

Yield ถูกกดดัน, ต้นทุนทางการเงินเพิ่มขึ้น, NPLs และ credit cost เพิ่มขึ้น