‘เงินบาทแข็งค่า’เปิดตลาดที่ 36.07บาทต่อดอลลาร์

‘เงินบาทแข็งค่า’เปิดตลาดที่ 36.07บาทต่อดอลลาร์

“กรุงไทย” ชี้แนวโน้มค่าเงินบาท แข็งค่าสวนทางกับแนวโน้มที่คาดการณ์ไว้ บรรยากาศเปิดรับความเสี่ยงของตลาดก็อาจช่วยหนุน แต่ระวังแรงขายทำกำไรสินทรัพย์ไทยของนักลงทุนต่างชาติ กดดันเงินบาทพลิกอ่อนค่าได้ มองกรอบวันนี้ที่ 35.95-36.20 บาทต่อดอลลาร์

นายพูน พานิชพิบูลย์  นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ (23 พ.ย)  ที่ระดับ 36.07 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย”จากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ 36.13 บาทต่อดอลลาร์ มองกรอบเงินบาทวันนี้คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 35.95-36.20 บาทต่อดอลลาร์

สำหรับ แนวโน้มค่าเงินบาท เรามองว่า แม้ว่าเงินบาทจะแข็งค่าสวนทางกับแนวโน้มที่เราคาดการณ์ไว้ (คาดว่ามาจากแรงขายของผู้เล่นในตลาด อาทิ ผู้ส่งออกในจังหวะที่เงินบาทอ่อนค่าใกล้ระดับ 36.30 บาทต่อดอลลาร์) และบรรยากาศเปิดรับความเสี่ยงของตลาดก็อาจช่วยหนุนให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นต่อได้บ้าง 

แต่เราคงมุมมองเดิมว่า ควรระมัดระวังแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าต่อเงินบาทที่เริ่มเพิ่มมากขึ้น โดยเราเห็นแรงขายทำกำไรสินทรัพย์ไทยจากนักลงทุนต่างชาติที่เพิ่มมากขึ้น (นอกจากนี้ การปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้นไทยก็เริ่มมีสัญญาณอ่อนแรงลง) นอกจากนี้ ควรจับตารายงานดัชนี PMIs ภาคการผลิตและภาคการบริการของสหรัฐฯ เพราะหากออกมาดีกว่าคาดไปมาก ก็อาจทำให้ตลาดมองว่า ภาพเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ไม่ได้ชะลอตัวลงหนัก อาจจะหนุนการเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ย หรือ “Good news could be Bad news for the market” (อนึ่ง หากออกมาแย่ไปมาก ก็อาจทำให้ตลาดกังวลแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ เสี่ยงเข้าสู่ภาวะถดถอย ซึ่งก็จะช่วยหนุนให้เงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นได้)

และนอกเหนือจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจดังกล่าว ผู้เล่นในตลาดควรระมัดระวัง รายงานการประชุมเฟดล่าสุด ซึ่งอาจส่งผลให้ตลาดผันผวนได้ในช่วงระหว่างที่รับรู้และตีความรายงานการประชุมดังกล่าว โดยประเด็นสำคัญที่ตลาดจะให้ความสนใจ คือ จุดสูงสุดของดอกเบี้ยเฟดจะอยู่ที่เท่าใด หลังประเด็นอัตราการขึ้นดอกเบี้ยของเฟด เริ่มชัดเจนมากขึ้นว่า เฟดอาจชะลออัตราการเร่งขึ้นดอกเบี้ยลงเหลือ +0.50%

ทั้งนี้ เราประเมินว่า โซนแนวต้านของเงินบาทยังอยู่ในช่วง 36.30 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งคาดว่าบรรดาผู้ส่งออกต่างรอจังหวะทยอยขายเงินดอลลาร์ในช่วงดังกล่าว ในขณะที่โซนแนวรับก็จะอยู่ในช่วง 35.90 บาทต่อดอลลาร์ โดยเราคาดว่าผู้นำเข้าอาจทยอยเข้ามาซื้อเงินดอลลาร์ในช่วงปลายเดือนตามภาระที่ต้องจ่าย

ทั้งนี้ การเคลื่อนไหวของเงินบาทที่ผันผวนสูงในช่วงที่ผ่านมาได้สะท้อนถึงความจำเป็นของการใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงที่หลากหลายมากขึ้น ทำให้เราคงแนะนำ ผู้ประกอบการควรใช้กลยุทธ์ป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนที่หลากหลายมากขึ้น โดยเฉพาะการใช้ Options ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันความเสี่ยงได้ดีในช่วงที่ตลาดผันผวนหนัก

 

บรรยากาศในตลาดหุ้นสหรัฐฯ พลิกกลับมาอยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยง (Risk-On) อีกครั้ง หลังถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด สาย “Hawkish” ไม่ได้ส่งสัญญาณสนับสนุนการเร่งขึ้นดอกเบี้ยของเฟด (แต่ยังคงสนับสนุนการขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่อง เพื่อคุมปัญหาเงินเฟ้อ) กอปรกับ ผู้เล่นในตลาดต่างรอจับตารายงานผลการประชุมเฟดล่าสุด(FOMC Meeting Minutes) ส่งผลให้บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ย่อตัวลดลงสู่ระดับ 3.76% หนุนให้ผู้เล่นในตลาดบางส่วนกลับเข้ามาซื้อหุ้นกลุ่มเทคฯ และหุ้นสไตล์ Growth ที่ปรับตัวลงแรงในช่วงก่อนหน้า อาทิ Nvidia +4.7%, Apple +1.5% ส่งผลให้ ดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq และดัชนี S&P500 พลิกกลับมาปรับตัวขึ้น +1.36% นอกจากนี้ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังได้แรงหนุนจากการรีบาวด์ขึ้นของราคาหุ้นกลุ่มพลังงาน (Exxon Mobil +2.9% และ Chevron +2.6%) ตามการปรับตัวขึ้นของราคาน้ำมันดิบ WTI และ Brent หลังซาอุฯ ออกมายืนยันว่ายังไม่ได้หารือกับบรรดาสมาชิกกลุ่ม OPEC+ ในประเด็นการเพิ่มกำลังการผลิตตามที่มีข่าวออกไปก่อนหน้า

 

ทางด้านตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ของยุโรป พลิกกลับมาปรับตัวขึ้น +0.73% หนุนโดยการปรับตัวขึ้นแรงของบรรดาหุ้นกลุ่มพลังงานเช่นเดียวกันกับในฝั่งสหรัฐฯ (Equinor +4.5%, Total Energies +4.4%) นอกจากนี้ การส่งสัญญาณต่อแนวโน้มการปรับดอกเบี้ยนโยบายที่ไม่ชัดเจนของบรรดาเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ได้ช่วยหนุนให้หุ้นกลุ่มเทคฯ และหุ้นสไตล์ Growth ของยุโรปยังสามารถปรับตัวขึ้นต่อได้ อาทิ ASML +1.2%

 

ในฝั่งตลาดค่าเงิน ภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินสหรัฐฯ ได้กดดันให้ เงินดอลลาร์อ่อนค่าลง เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก ส่งผลให้ดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ย่อตัวลง -0.2% สู่ระดับ 107.2 จุด อย่างไรก็ดี แม้ว่าเงินดอลลาร์จะอ่อนค่าลงตามภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาด ทว่า ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตารายงานการประชุมของเฟดล่าสุดทำให้เงินดอลลาร์มีแนวโน้มแกว่งตัว Sideways และผันผวนมากขึ้นในช่วงตลาดรับรู้รายงานการประชุมเฟดดังกล่าวได้ อนึ่ง การอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์ และการปรับตัวลงของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ได้ช่วยพยุงให้ ราคาทองคำ(สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค.) ไม่ได้ปรับตัวลดลงไปมาก จากแรงขายทำกำไรในช่วงตลาดเปิดรับความเสี่ยง ทำให้ราคาทองคำย่อตัวลงเล็กน้อย ใกล้โซนแนวรับแถว 1,750 ดอลลาร์ต่อออนซ์

 

สำหรับวันนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ ผ่านรายงานดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตและภาคการบริการ (S&P Global Manufacturing & Services PMIs) ในเดือนพฤศจิกายน โดยตลาดคาดว่า ดัชนีPMI ภาคการผลิตและภาคการบริการอาจปรับตัวลดลงสู่ระดับ 49.9 จุด และ 47.7 จุด (ดัชนี น้อยกว่า 50 จุด หมายถึง ภาวะหดตัว) สะท้อนกิจกรรมทางเศรษฐกิจในภาคการผลิตและภาคการบริการที่ยังคงซบเซาต่อเนื่อง จากผลกระทบของการเร่งขึ้นดอกเบี้ยของเฟด และภาวะเงินเฟ้อ/ค่าครองชีพสูง รวมถึงภาพการชะลอตัวลงของเศรษฐกิจโลกทั้งนี้ ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่ รายงานการประชุมเฟดล่าสุด (FOMC Meeting Minutes) ในช่วงเช้าตรู่ของวันพฤหัสฯโดยผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามรายงานการประชุมเฟดอย่างใกล้ชิดเพื่อประเมินแนวโน้มนโยบายการเงินของเฟดโดยเฉพาะระดับดอกเบี้ยสูงสุดของเฟด หรือ Terminal Rate หลังบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดต่างออกมาสนับสนุนอัตราการขึ้นดอกเบี้ยที่อาจชะลอลงจากช่วงก่อนหน้า (จาก +0.75% เหลือ +0.50%)

 

ในฝั่งยุโรป ตลาดจะรอประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจยุโรปผ่านรายงานดัชนี PMI ภาคการผลิตและการบริการในเดือนพฤศจิกายน โดยตลาดมองว่า แนวโน้มเศรษฐกิจยุโรปอาจยังคงซบเซาต่อเนื่อง ท่ามกลางแรงกดดันจากทั้งปัญหาเงินเฟ้อและค่าครองชีพสูง รวมถึงต้นทุนการกู้ยืมที่สูงขึ้นตามอัตราดอกเบี้ยนโยบาย และความไม่แน่นอนของสงครามรัสเซีย-ยูเครน โดยภาพดังกล่าวจะสะท้อนผ่านดัชนี PMI ภาคการผลิตและการบริการของยูโรโซนที่จะปรับตัวลดลงต่อเนื่องสู่ระดับ 46 จุด และ 48.1 จุด ตามลำดับ เช่นเดียวกันกับฝั่งอังกฤษ ดัชนี PMI ภาคการผลิตและการบริการก็อาจปรับตัวลดลงต่อเนื่องสู่ระดับ 45.7 จุด และ 48 จุด  ตามลำดับเช่นกัน

 

ส่วนในฝั่งไทย ตลาดคาดว่า การค้าระหว่างประเทศของไทยอาจได้รับผลกระทบจากภาพเศรษฐกิจโลกชะลอตัวลงโดยยอดการส่งออก (Exports) อาจโตเพียง 5.5%y/y ส่วนยอดการนำเข้า (Imports) ยังโตกว่า +10%y/y ทำให้ดุลการค้า (Trade Balance) ในเดือนตุลาคมอาจกลับมาขาดดุลถึง -1.4 พันล้านดอลลาร์