EA เผยไตรมาส 3/65 กำไรสุทธิ 2.9 พันล้าน เติบโต 83%

EA เผยไตรมาส 3/65 กำไรสุทธิ 2.9 พันล้าน เติบโต 83%

“พลังงานบริสุทธิ์” เผยไตรมาสกำไรสุทธิ 2.9 พันล้าน เติบโต 83.77% จากช่วงเดียวกันปีก่อน รับรู้ผลการดำเนินงานกลุ่มธุรกิจแบตเตอรี่และยานยนต์ไฟฟ้า และกำไรจากการจำหน่ายเงินลงทุนในบริษัทย่อย

บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) หรือ EA แจ้งผ่านตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ว่า บริษัทมีผลประกอบการไตรมาส 3 ปี 2565 กำไรสุทธิ 2,970.29 ล้านบาท เติบโต 83.77% จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 1,616.25 ล้านบาท ขณะที่งวด 9 เดือน บริษัทมีกำไรสุทธิ 5,432.03 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 28.75% เทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 4,218.76 ล้านบาท

          โดยสาเหตุหลักมาจากผลดำเนินงานของกลุ่มธุรกิจแบตเตอรี่และยานยนต์ไฟฟ้า และกำไรจากการจำหน่ายเงินลงทุนในบริษัทย่อยโดยการโอนกิจการทั้งหมด (Entire Business Transfer หรือ “EBT”) ของ บริษัท อี ทรานสปอร์ต โฮลดิง จำกัด(“ETH”) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบริษัทฯ ให้แก่ บริษัท ไทย สมายล์ บัส จำกัด (“TSB”)

          ขณะที่ บริษัทฯ และบริษัทย่อยมีรายได้รวมสำหรับไตรมาส 3 ปี 65 จำนวน 7,606.79 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจำนวน 2,428.35 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 46.89% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวม 5,178.44 ล้านบาท และสำหรับงวด 9 เดือน ปี 2565 จำนวน 17,877.42 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจำนวน3,057.47 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20.63% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ที่มีรายได้รวม 14,819.95 ล้านบาท

          ส่วนงานกลุ่มธุรกิจไบโอดีเซล บริษัทฯ และบริษัทย่อยมีรายได้จากส่วนงานกลุ่มธุรกิจไบโอดีเซล สำหรับไตรมาส 3 ปี 65 ลดลงจำนวน 181.67 ล้านบาท หรือลดลง 10.37% และสำหรับงวด 9 เดือน ลดลงจำนวน 23.78 ล้านบาท หรือลดลง 0.40% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน

โดยสรุปได้ดังนี้ 1.1 ส่วนงานผลิตและจำหน่ายน้ำมันไบโอดีเซล รายได้สำหรับไตรมาส 3 ปี 65 ลดลงจำนวน 143.24 ล้านบาท ลดลง 12.28% และสำหรับงวด 9 เดือน ลดลงจำนวน 505.79 ล้านบาท ลดลง 12.17% โดยสาเหตุหลักมาจากปัจจัยด้านปริมาณที่ลดลง ซึ่งเป็นผลมาจากคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) มีมาตรการปรับลดส่วนผสมของน้ำมันไบโอดีเซล (บี100) อย่างต่อเนื่อง

โดยมีการปรับลดการผสมไบโอดีเซลเหลือเพียง B7 ชนิดเดียว ตั้งแต่ช่วงตุลาคม 2564 และปรับลดอีกครั้ง ให้เหลือเพียง B5 ชนิดเดียว โดยเริ่มมีผลตั้งแต่วันที่ 5 กุมภาพันธ์2565 เป็นต้นมาเพื่อลดผลกระทบต่อค่าครองชีพของประชาชนจากสถานการณ์ราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น โดยปริมาณการขายที่ลดลงในช่วงไตรมาสที่ 3 และงวด 9 เดือน ปี 2565 ลดลงจำนวน 3.53 ล้านลิตร หรือลดลง 10.46% และจำนวน 34.79 ล้านลิตร หรือลดลง 29.62% ตามลำดับ

1.2 ส่วนงานผลิตและจำหน่ายกลีเซอรีนบริสุทธิ์รายได้สำหรับไตรมาส 3/65 เพิ่มขึ้นจำนวน 25.94 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 28.20% และสำหรับงวด 9 เดือน เพิ่มขึ้นจำนวน 126.73 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 55.28% จากปัจจัยด้านราคาที่เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันกับปีก่อน เนื่องจากปริมาณกลีเซอรีนบริสุทธิ์ในประเทศออกสู่ตลาดค่อนข้างจำกัด ซึ่งสอดคล้องกับปริมาณการผลิตน้ำมันไบโอดีเซลที่ลดลง เนื่องจากกลีเซอรีนบริสุทธิเป็นผลิตภัณฑ์พลอยได้ของการผลิตน้ำมันไบโอดีเซล ด้วยแรงผลักดันของอุปสงค์ที่มากกว่าอุปทานจึงส่งผลให้ราคาขายของกลีเซอรีนบริสุทธิ์ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

1.3 ส่วนงานผลิตและจำหน่ายน้ำมันปาล์มดิบ รายได้สำหรับไตรมาส 3 ปี 65 ลดลงจำนวน 85.31 ล้านบาท ลดลง 20.44%  และสำหรับงวด 9 เดือน เพิ่มขึ้นจำนวน 240.59 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 19.09% โดยสาเหตุหลักมาจากปัจจัยด้านราคาน้ำมันปาล์มดิบในตลาดโลกอยู่ในระดับสูง และสถานการณ์ราคาปาล์มในประเทศที่ปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจากมีการส่งออกมากขึ้นในช่วงหกเดือนแรกของปี 65 ถึงแม้ปัจจัยด้านปริมาณการขายจะลดลงจากที่ภาครัฐได้มีมาตรการปรับลดสัดส่วนการผสมไบโอดีเซลเหลือเพียง B5 ทดแทน B7 จึงทำในช่วงหกเดือนปี 65 การใช้น้ำมันปาล์มสำหรับผลิตไบโอดีเซลลดลง

1.4 ส่วนงานผลิตและจำหน่าย PCM รายได้สำหรับไตรมาส 3 ปี 65 เพิ่มขึ้นจำนวน 11.58 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 106.73% และสำหรับงวด 9 เดือน เพิ่มขึ้นจำนวน 48.32 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 136.30% เนื่องจากปัจจัยหลักด้านปริมาณการขายที่เพิ่มขึ้น และการขยายตลาดเพื่อนำ PCM ไปใช้เป็นอุปกรณ์ให้ความเย็นพกพาสำหรับฤดูร้อนจึงส่งผลให้บริษัทฯ มีรายได้เพิ่มเมื่อเทียบช่วงเวลาเดียวกันกับปีก่อน

1.5 ผลิตภัณฑ์ผลพลอยได้รายได้สำหรับไตรมาสที่ 3 ปี 65 เพิ่มขึ้นจำนวน 9.36 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14.44% และสำหรับงวด 9 เดือน เพิ่มขึ้นจำนวน 66.37 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 31.49% เนื่องจากปัจจัยหลักทางด้านราคาขายของเมล็ดในปาล์มที่เพิ่มขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับราคาปาล์มที่สูงขึ้น (เมล็ดในปาล์มเป็นผลพลอยได้ที่ได้จากกระบวนการผลิตน้ำมันปาล์มดิบ)

ส่วนงานผลิตและจำหน่ายกระแสไฟฟ้า สำหรับไตรมาส 3 ปี 65 มีรายได้จำนวน 2,658.59 ล้านบาท ลดลงจำนวน 47.37 ล้านบาท ลดลง 1.75% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้จำนวน 2,705.96 ล้านบาท และสำหรับงวด 9 เดือน มีรายได้จำนวน 8,141.18 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจำนวน 68.36 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.85% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้จำนวน 8,072.82 ล้านบาท

3. รายได้จากธุรกิจผลิตและจำหน่ายแบตเตอรี่ลิเทียมไอออนและยานยนต์ไฟฟ้า สำหรับไตรมาส 3 ปี 65 มีรายได้จำนวน 1,257.51 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจำนวน 700.09 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 125.59%  และสำหรับงวด 9 เดือน มีรายได้จำนวน 1,405.86 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจำนวน 744.47 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 112.56% โดยเป็นผลมาจากการจำหน่ายยานยนต์ไฟฟ้าในช่วงไตรมาส 3 ปี 65 จำนวนทั้งสิ้น 251 คัน และรายได้จากการจำหน่ายแบตเตอรี่ลิเทียมไอออน

4. รายได้จากธุรกิจอื่น สำหรับไตรมาส 3 ปี 65 มีรายได้จำนวน 205.56 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจำนวน 181.12 ล้านบาท และสำหรับงวด 9 มีรายได้จำนวน 413.70 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจำนวน 373.34 ล้านบาท โดยหลักมาจากรายได้การให้บริการของสถานีอัดประจุไฟฟ้า การให้บริการเรือโดยสารไฟฟ้า การให้บริการรถยนต์โดยสารประจำทาง ซึ่งเป็นผลมาจากมาตรการผ่อนคลายการควบคุมการแพร่ระบาดของ COVID-19 ทำให้การเดินทางของภาคประชาชนเพิ่มขึ้น (การให้บริการรถยนต์โดยสารประจำทางของบริษัท สมาร์ทบัส จำกัด เป็นรายได้ก่อนการทำรายการโอนกิจการทั้งหมด (Entire Business Transfer) ให้แก่ บริษัท ไทย สมายล์บัส จำกัด ในวันที่13 กันยายน 2565

5. รายได้อื่น สำหรับไตรมาส 3 ปี 65 มีรายได้จำนวน 1,914.98 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจำนวน 1,776.18 ล้านบาท และสำหรับงวด 9 เดือน มีรายได้จำนวน 2,049.21 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจำนวน 1,895.08 ล้านบาท โดยสาเหตุหลักมาจากกำไรจากการทำรายการโอนกิจการทั้งหมด (Entire Business Transfer) ของบริษัทย่อยและบริษัทร่วมให้แก่ บริษัท ไทย สมายล์ บัส จำกัด จำนวน 1,826.89 ล้านบาท