หุ้นกลุ่ม Healthcare ของสหรัฐฯ งบยังแกร่ง แม้เศรษฐกิจมีโอกาสชะลอตัว

หุ้นกลุ่ม Healthcare ของสหรัฐฯ งบยังแกร่ง แม้เศรษฐกิจมีโอกาสชะลอตัว

ในช่วงภาวะเศรษฐกิจถดถอย บริษัทในกลุ่ม Healthcare ยังคงไปได้ดี แม้ไม่หวือหวา แต่คาดว่ามีศักยภาพในการเติบโต สะท้อนให้เห็นจากผลประกอบการของหุ้นในกลุ่มนี้หลายตัวที่งบยังแข็งแกร่ง ส่วนจะมีตัวไหนบ้าง ติดตามอ่านได้จากบทความนี้

ขณะนี้เข้าสู่ช่วงฤดูกาลประกาศผลประกอบการไตรมาส 3 ของเหล่าบริษัทจดทะเบียนใน ตลาดหุ้นสหรัฐฯ แม้หลายบริษัทจะรายงานงบการเงินที่ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาด กดดันจาก เงินเฟ้อ ที่เร่งตัวขึ้น ปัญหาห่วงโซ่อุปทาน การชะลอลงของกำลังซื้อผู้บริโภคและความเสี่ยงของ ภาวะเศรษฐกิจถดถอย

อย่างไรก็ตาม หนึ่งในกลุ่มธุรกิจที่ยังสามารถเผยผลประกอบการแข็งแกร่งต่อเนื่องคือบริษัทในกลุ่ม Healthcare ซึ่งขณะนี้ 44% ของบริษัท Healthcare ในดัชนี S&P 500 ประกาศผลการดำเนินงานออกมาแล้ว และราว 60% ของบริษัทเหล่านั้นรายงานงบดีกว่าที่ตลาดคาด จากข้อมูลพบว่า ราคาหุ้นบริษัท Healthcare ที่รายงานผลดำเนินงานดีกว่าที่ตลาดคาดให้ผลตอบแทนสูงกว่าราคาหุ้นของบริษัทในดัชนี S&P500 โดยรวมที่รายงานงบดีกว่าคาดถึง 1.06% หลังวันประกาศผลประกอบการ ซึ่งสูงที่สุดในทุกกลุ่มอุตสาหกรรมในดัชนี (ข้อมูล ณ วันที่ 28 ต.ค.)

อีกสาเหตุที่กลุ่ม Healthcare ปรับเพิ่มขึ้นได้เนื่องจากลักษณะของหุ้นที่เป็นกลุ่ม Defensive และมี Flow ไหลมาจากหุ้นกลุ่มอื่นๆ เช่น กลุ่มเทคโนโลยีหลังประกาศงบต่ำกว่าที่คาด โดย Goldman Sachs ประเมินว่า Valuation ของหุ้นในกลุ่มธุรกิจย่อยของ Healthcare อย่างกลุ่ม Biotech และ Pharmaceutical ยังมี valuation ที่ต่ำกว่าหุ้น Defensive อื่นๆ และมองว่าในกลุ่ม Pharmaceutical ยังมี upside อยู่ราว 7% เมื่อเทียบกับระดับราคาสูงสุดของดัชนี S&P500 ใน 5 ปีที่ผ่านมา

ทั้งนี้ นักลงทุน สามารถติดตามผลประกอบการของหุ้นกลุ่ม Healthcare ขนาดใหญ่ที่สามารถสะท้อนภาพรวมบางส่วนของธุรกิจ Pharmaceutical ของสหรัฐฯ ซึ่งเป็นสัดส่วนประมาณ 1 ใน 3 ของกลุ่ม Healthcare ทั้งหมด ผ่านสรุปผลการดำเนินงานของหุ้น Johnson & Johnson Pfizer และ Eli Lilly ได้ในบทความนี้

หุ้นในกลุ่ม Pharmaceutical เทรดที่ระดับราคาต่ำกว่าหุ้นกลุ่ม Defensive อื่นๆ

หุ้นกลุ่ม Healthcare ของสหรัฐฯ งบยังแกร่ง แม้เศรษฐกิจมีโอกาสชะลอตัว
 ที่มา: Goldman Sachs

Johnson & Johnson (JNJ US) - รายงานผลดำเนินงานดีกว่าตลาดคาดเป็นไตรมาสที่ 4

Johnson & Johnson หนึ่งในบริษัทเภสัชกรรมและผลิตภัณฑ์สุขภาพรายใหญ่ของโลก ประกาศผลการดำเนินงานดีกว่าที่ตลาดคาดติดต่อกันอย่างน้อยเป็นไตรมาสที่ 4 โดยรายได้อยู่ที่ $23.79 billion สูงกว่าช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้วที่ $23.34 billion ด้าน EPS อยู่ที่ $2.55 แม้ว่าจะสูงกว่าที่ตลาดประเมินที่ $2.49 แต่ปรับลงจากปีที่แล้วเล็กน้อยราว -1.9% ซึ่งหากพิจารณาเป็นรายธุรกิจรายได้ค่อนข้างคงที่ โดยธุรกิจ Pharmaceutical ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนราวครึ่งหนึ่งของรายได้ทั้งหมด มีรายได้ $13.2billion เติบโต 9% (คำนวณโดยไม่รวมความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน) หนุนจากผลิตภัณฑ์ยาอย่าง DARZALEX ซึ่งใช้ในการรักษามะเร็งหลอดเลือดขาว และ Tremfya ซึ่งใช้รักษาโรคสะเก็ดเงินรวมถึงยาอื่นๆ ด้านธุรกิจ MedTech มีรายได้ $6.75 billion เพิ่มขึ้น 8.1% และธุรกิจ Consumer Health และ $3.79 billion เติบโต 4.7% หนุนจากแบรนด์ความงามผิวหนัง Neutrogena และ AVEEN

ทั้งนี้ บริษัทฯ ตั้งเป้าว่าจะสร้างรายได้จากธุรกิจ Pharmaceutical ราว $60 billion ภายในปี 2025 ซึ่งบริษัทเน้นย้ำถึงความมั่นใจถึงแนวโน้มการเติบโตที่ยังไม่รวมรายได้ที่อาจเกิดขึ้นจากการควบรวมกิจการในอนาคต อย่างไรก็ดีในระยะสั้น บริษัทฯ ได้ปรับประมาณการของทั้งปีนี้ลงราว $500 billion จากความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนซึ่งอาจกดดันรายได้

Pfizer (PFE US) – แม้รายได้ชะลอจากยอดขายวัคซีน COVID แต่เตรียมออกยาใหม่ 19 ชนิดใน 18 เดือนข้างหน้า 

Pfizer บริษัทด้านชีวเภสัชภัณฑ์ที่เน้นการวิจัย ผลิตและจำหน่ายยาและวัคซีนที่เกี่ยวข้องกับระบบภูมิคุ้มกัน เนื้องอก หัวใจ ระบบประสาทและต่อมไร้ท่อ ซึ่งเป็นที่รู้จักในวงกว้างจากการผลิตวัคซีน Covid-19 ชนิด mRNA ประกาศรายได้อยู่ที่ $22.6 billion สูงกว่าที่ตลาดคาด แม้จะชะลอตัวลง -6% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า เป็นผลมาจากยอดขายวัคซีน COVID-19 ที่ลดลงจากปีที่แล้วถึง 66% ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่หลายประเทศทั่วโลกสั่งซื้อวัคซีนให้ประชาชนในประเทศ แต่ความต้องการของวัคซีนในสหรัฐฯ ยังคงแข็งแกร่ง รวมถึงยารักษาอาการ Covid อย่าง Paxlovid ที่มีรายได้ราว $7.5 billion ก็มาจากตลาดสหรัฐฯ เป็นส่วนใหญ่เช่นกัน

นอกจากนี้ ยาที่หนุนรายได้ของบริษัทอย่างโดดเด่นได้แก่ Eliquis ซึ่งเป็นยาเกี่ยวกับลิ่มเลือดและโรคหลอดเลือดสมอง รวมถึง Prevnar ซึ่งเป็นวัคซีนป้องกันโรคปอดบวมที่เพิ่มขึ้น 9% และ 11% จากปีก่อนหน้า ด้านกำไรสุทธิอยู่ที่ $8.6 billion เพิ่มขึ้น 6% จากค่าใช้จ่ายด้านวิจัยและพัฒนา (R&D) และอัตราภาษีที่ลดลง

ทั้งนี้ CEO ระบุว่า บริษัทฯ มีมุมมองที่เหนือไปกว่าการแพร่ระบาดของ Covid-19 และจะมุ่งเน้นไปยังยาด้านอื่นๆ โดยมีแผนที่จะออกผลิตภัณฑ์ยาใหม่ 19 อย่างในอีก 18 เดือนข้างหน้า ซึ่งบางส่วนมีรายงานการทดลองที่ประสบความสำเร็จในขั้นต้น โดยในภาพระยะยาวบริษัทคาดว่าจะมีรายได้ $20 billion ภายในปี 2030 จากผลิตภัณฑ์ยาตัวใหม่

นอกจากนี้ ยังมีการเข้าซื้อกิจการ Biohaven และ Global Blood Therapeutics ด้วยมูลค่า $11.6 billion และ $ 5.4 billion ซึ่งแล้วเสร็จในไตรมาสที่ผ่านมา โดยในปีนี้บริษัทประเมินว่ายอดขายวัคซีนทั้งปีนี้จะอยู่ที่ $34 billion มากกว่าเดิมถึง $2 billion จากที่บริษัทได้เคยคาดการณ์ไว้ ส่วนยอดขายยารักษา COVID-19 Paxlovid จะอยู่ที่ $22 billion และมีการปรับเพิ่มคาดการณ์กำไรทั้งปีของบริษัทเพิ่มขึ้นอีกด้วย 

Eli Lilly (LLY US) – บริษัทเริ่มรับรู้รายได้จากยาเบาหวานชนิดใหม่ และ จับตายารักษาโรคอัลไซเมอร์ 

Eli Lilly หนึ่งในบริษัทผลิตยาที่ใหญ่ที่สุดในโลก มุ่งเน้นการวิจัย พัฒนาและจำหน่ายยาที่เกี่ยวกับโรคเบาหวานเป็นหลัก รวมถึงยาอื่นๆ ผลการดำเนินงานไตรมาสล่าสุดสูงกว่าที่ตลาดคาดทั้งรายได้และกำไร โดยรายได้อยู่ที่ $6.94 billion เติบโต 7% ปัจจัยหนุนสำคัญคือ Mounjaro ซึ่งเป็นยาที่ใช้รักษาอาการของโรคเบาหวานประเภทที่ 2 เพื่อลดระดับน้ำตาลในเลือด และพึ่งได้รับการอนุมัติจาก FDA เมื่อเดือน พ.ค. มีรายได้ $187mn สูงกว่าที่ตลาดประเมินมากกว่าเท่าตัว

โดยนักวิเคราะห์ประเมินว่า ยาดังกล่าวเป็นจะก้าวมามีบทบาทสำคัญในการรักษาโรคเบาหวาน อีกทั้งตลาดยารักษาโรคเบาหวานสามารถเติบโตได้อีกและมีการเจาะตลาดที่ไม่สูงมาก นอกจากนี้ ยังมีตัวยาที่อยู่ใน pipeline และเป็นที่จับตาคือ donanemab ซึ่งเป็นยารักษาโรคอัลไซเมอร์ในระยะแรก และขณะนี้อยู่ในระหว่างขั้นตอนตรวจสอบ อีกทั้งยังได้รับประโยชน์จากค่าใช้จ่ายทางภาษีหนุนให้ EPS สูงกว่าคาด อย่างไรก็ตามบริษัทฯ ปรับลงประมาณการทั้งปี 2022 ลง EPS $7.70-7.85 จากเดิม $8.50-$8.65 ที่เคยให้ไว้ต้นปี จากประมาณการค่าใช้จ่ายด้านวิจัยและพัฒนา (R&D) ที่สูงขึ้น

โดยภาพรวม บริษัทในกลุ่ม Healthcare ยังคงรายงานผลการดำเนินงานที่ดีแม้ในช่วงที่เผชิญกับภาวะเศรษฐกิจถดถอย ถึงแม้การเติบโตอาจจะไม่หวือหวาแต่มีความมั่นคง สะท้อนในผลประกอบการของหุ้น Healthcare ที่มีขนาดใหญ่อย่างเช่น Johnson & Johnson, Pfizer และ Eli Lilly หนุนจากการพัฒนาผลิตภัณฑ์ยาที่มีประสิทธิภาพและการควบรวมกิจการเพื่อเสริมความแข็งแกร่งของบริษัท แม้ว่าในระยะสั้นอาจได้รับผลกระทบจากความผันผวนของตลาดหุ้น แต่ในระยะยาวมองว่ายังเป็นหุ้นกลุ่มที่มีความมั่นคงและยังมีศักยภาพในการเติบโต

ที่มา: Bloomberg, Goldman Sachs, CNBC, BARRON’S

ข้อมูล บทความ บทวิเคราะห์และการคาดหมาย รวมทั้งการแสดงความคิดเห็นทั้งหลายที่ปรากฏอยู่ในรายงานฉบับนี้ทำขึ้นบนพื้นฐานของแหล่งข้อมูลที่ดีที่สุดที่ได้รับมาและพิจารณาแล้วเห็นว่า น่าเชื่อถือ แต่ทั้งนี้ไม่อาจรับรองความถูกต้อง ความสมบูรณ์ แท้จริงของข้อมูลดังกล่าว ความเห็นที่แสดงไว้ในรายงานฉบับนี้ได้มาจากการพิจารณาโดยเหมาะสมและรอบคอบแล้ว และอาจเปลี่ยนแปลงได้โดยไม่จำเป็นต้องแจ้งล่วงหน้าแต่อย่างใด บทความ บทวิเคราะห์ และการคาดหมายทั้งหลายที่ปรากฏ อยู่ในรายงานฉบับนี้เป็นการนำไปใช้โดยผู้ใช้ยอมรับความเสี่ยงและเป็นดุลยพินิจของผู้ใช้แต่เพียงผู้เดียว

ติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ บลจ.ทิสโก้ หรือ TISCO Contact Center โทร. 0 2633 6000 กด 4, 0 2080 6000 กด 4 และ www.tiscoasset.com หรือ แอปพลิเคชัน TISCO My Funds