Sideways Down ซื้อเก็งกำไร CK AH TU (21 ต.ค. 2565)

Sideways Down ซื้อเก็งกำไร CK AH TU (21 ต.ค. 2565)

คาดดัชนีฯ Sideways Down แนวต้าน 1,597/1,604 จุด แนวรับ 1,573/1,566 จุด แนะนำ ซื้อเก็งกำไร CK AH TU ทางเทคนิค ดัชนีฯ ยังคงอยู่ในรูปแบบขาลง Double Bottom แนวรับที่ 1,553 จุด แต่หากดัชนีฯ สามารถปรับตัวปิดเหนือ 1,597 จุด จะเปลี่ยนเป็นแนวโน้มขาขึ้น ในรูปแบบของ Triple Top

โดยโมเมนตัมลบ คือ แรงขายสินทรัพย์เสี่ยงคาดเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะหุ้นกลุ่ม Cyclical, Technology อิงผลประชุมเฟด 2 ครั้งสุดท้ายปีนี้ อำจปรับขึ้นดอกเบี้ยอีกครั้งละ0.75% เป็น 4.75% ในสิ้นปี และไทยมีเทศกาลหยุดยาว (ปิดวันจันทร์)  ไฮไลท์วันนี้ คือ US 3Q22E Earnings Results: Amex, Verizon และสุนทรพจน์ประธานเฟด Fed Williams (Voter); ธนาคารไทยประกาศงบ (SCB); Japan รายงาน CPI เดือน ก.ย. คาด +3.2% YoY (Vs เดือน ส.ค. +3% YoY)

 

กลยุทธ์การลงทุน แนะนำ

+ KTX Portfolio: พอร์ต Big Cap แนะนำ GULF CRC AWC TCAP CENTEL BH BEM AOT BBL EA CPN MINT KTB BDMS (ซื้อ CK)

+ Daily Recommendations: CK (คาดกำไรเติบโตทั้ง QoQ และ YoY จากการผลการดำเนินงานที่โดดเด่นของบริษัทลูก เช่น BEM และ CKP) AH (ได้ประโยชน์จาก ค่าเงินบาทที่ยังมีแนวโน้มอ่อนค่าอย่างต่อเนื่อง รวมถึงปัจจัยบวกจาก Consensus ปรับราคาเป้าหมายขึ้น 9.90% ในรอบ 1 เดือน) TU (รับประโยชน์จากแนวโน้ม การอ่อนค่าของค่าเงินบาท)

+ หุ้นกลุ่มธนาคาร ซึ่งคาดการณ์กำไร 3Q22E เติบโตทั้ง QoQ และ YoY: BBL SCB KBANK BAY

+ หุ้นที่ได้ประโยชน์จากการซ่อมแซมบ้านเรือนหลังน้ำท่วม: GLOBAL HMPRO DOHOME

+ หุ้นได้ประโยชน์จากจำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น: CENTEL ERW AOT BAFS AAV SPA

 

ปัจจัยบวก

+ Thailand: หุ้นกลุ่มธนาคารส่วนใหญ่ (KKP BAY TTB) รายงานกาไรออกมาสูงกว่าที่ตลาดคาด และเติบโตทั้ง QoQ และ YoY ทำให้คาดว่าจะมีแรงซื้อเก็งกำไรหุ้นกลุ่มธนาคารที่จะประกาศผลการดำเนินงานวันนี้ เช่น KBANK และ SCB

 

 

 

ปัจจัยลบ

- Equities/Bond: การส่งสัญญาณเร่งขึ้นดอกเบี้ย เพื่อสกัดเงินเฟ้อของประธานเฟด สาขาต่าง ๆ เนื่องจากตัวเลขเงินเฟ้อรายเดือนที่ยังคงปรับลดลงช้า (ล่าสุดเดือน ก.ย. 8.2% จากเดือน ส.ค. 8.5% และสูงสุดเดือน ก.ค. ที่ 9.1%) ส่งผลต่อ Fed Fund Futures ปรับคาดการณ์การปรับขึ้นดอกเบี้ยของเฟดว่าจะมีต่อเนื่องอีก 4 ครั้ง แบ่งเป็นครั้งละ 0.75% ในการประชุมวันที่ 2 พ.ย./14 ธ.ค. และอีกครั้งละ 0.25% ในการประชุมวันที่ 1 ก.พ./22 มี.ค. ไปสิ้นสุดที่ 5-5.25% (Comment: สัญญาณเร่งขึ้นดอกเบี้ยดังกล่าว สอดคล้องกับผลสำรวจผจก.กองทุนโลกเดือน ต.ค. ที่คาดว่าเฟดจะปรับขึ้นดอกเบี้ยสูงกว่าคาดการณ์เดิม +0.5% เป็น 5.0% ภายใน 1Q23E และแนะนำ ถือครองสินทรัพย์ปลอดภัย Cash+หุ้นกลุ่ม Utilities, Staples, Health Care)

 

ประเด็นสำคัญ

- US: 3Q22E Earnings Results: Amex, Verizon, Seagate และสุนทรพจน์ประธานเฟด Fed Williams (Voter)

- Thailand: ธนาคารไทยประกาศงบ (SCB KBANK)

- Japan: รายงาน CPI เดือน ก.ย. คาด +3.2% YoY (Vs เดือน ส.ค. +3% YoY)

 

Global Market Summary: วันทำการที่ผ่านมา

+ ตลาดหุ้นไทยกลับมาปิดบวก: ตลาดหุ้นไทยร่วงไปต่ำสุดที่ 1,579.78 จุด ในชั่วโมงแรกของการซื้อขาย ก่อนฟื้นตัวในลักษณะ Sideways Up กรอบ 1,586-1,595.57 จุด ก่อนมาปิดตลาดที่ 1,592.73 จุด +4.01 จุด วอลุ่มซื้อขาย 6.6 หมื่นล้านบาท นำขึ้นโดยกลุ่มยานยนต์ +2.16% การแพทย์ +1.19% ขนส่งและโลจิสติกส์ +1.15% พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ +1.14% พลังงานและสาธารณูปโภค +1.06% หุ้นบวก >4% WHA BCPG TTW UMW SMK ADD BGT SAT TRV ABM หุ้นลบ >4% DELTA AMARC JTS KWM MITSIB MC UTP

 

+/- ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดลบ ส่วนหุ้นยุโรปปิดบวก: DJIA -0.30% S&P500 -0.80% NASDAQ -0.61% นำลงโดย หุ้น 8 ใน 11 กลุ่มอุตสาหกรรมที่คำนวณดัชนี S&P500 โดยตลาดพลิกกลับมาเคลื่อนไหวในแดนลบ เพราะให้น้ำหนักเรื่องการปรับขึ้นดอกเบี้ยของเฟดเหนือกว่าผลประกอบการที่ดีกว่าคาดของบจ.สหรัฐฯ (IBM AT&T) หลังจากรายงานจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงานรายสัปดาห์ออกมาต่ำสุดรอบ 3 สัปดาห์ และน้อยกว่าคาดเป็น 2.14 แสนราย (Vs คาด 2.3 แสนราย) ขณะที่นายแพทริก ฮาร์เกอร์ ประธานเฟด สาขาฟิลาเดลเฟีย (ไม่มีสิทธิโหวต) ออกมาสนับสนุนความจำเป็นต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไป ส่วนหุ้นยุโรปปิดบวก CAC40 +0.76% DAX +0.20% FTSE +0.27% นำบวกโดยหุ้นกลุ่มเทคฯ ปัจจัยบวก คือ ข่าวนายกฯ อังกฤษ ลิซ ทรัสส์ ประกาศลาออก ทำให้แผนการด้านเศรษฐกิจของเธอที่สร้างความปั่นป่วนให้ตลาดการเงินต้องยุติไปด้วย โดยจะมีการเลือกผู้นำคนใหม่ในสัปดาห์หน้า


+/- ราคาน้ำมันดิบปิดคละ ส่วนทองคำปิดบวก: WTI +43 เซนต์ ปิดที่ USD85.98/บาร์เรล Brent -3 เซนต์ ปิดที่ USD92.38/บาร์เรล ท่ามกลางการซื้อขายที่ผันผวน ปัจจัยบวก คือ การคาดว่าอุปสงค์น้ำมันดิบจากจีนปรับสูงขึ้น หลังจีนเริ่มลดระยะเวลากักตัวของผู้ที่เดินทางเข้าประเทศ ปัจจัยลบ คือ การเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟด จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและอุปสงค์น้ำมันดิบ ส่วนราคาทองคำกลับมาปิดบวกเล็กน้อย +USD2.60 ปิดที่ USD1,636.80/ออนซ์ จากการอ่อนค่าของเงิน USD และแรงซื้อเก็งกำไร หลังราคาทองคำร่วงต่ำสุดรอบ 3 สัปดาห์

 

ประเด็นสำคัญ

- TRUE-DTAC: กสทช. มีมติเสียงข้างมากรับทราบการควบรวมบมจ.ทรู คอร์ปอเรชั่น (TRUE) และบมจ.โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น (DTAC) พร้อมกำหนดเงื่อนไขและมาตรการเฉพาะ เพื่อการคุ้มครองผู้บริโภคและการพัฒนากิจการโทรคมนาคม 5 ข้อ เน้นการกำหนดเพดานค่าบริการ
KTX comment: การควบรวมดังกล่าว เป็นไปตามที่ตลาดคาด ซึ่งราคาหุ้นได้มีการตอบรับปัจจัยดังกล่าวไปแล้ว สำหรับผลที่จะตามมา การควบรวมดังกล่าว ถือว่าเป็นประโยชน์ของทั้ง 2 บริษัท จากการแข่งขันที่ลดลง รวมถึงการประหยัดต้นทุนจากการใช้ทรัพยากรร่วมกัน เช่น การใช้งบการตลาดและการใช้โครงข่ายต่าง ๆ เป็นต้น

- US: กระทรวงแรงงานสหรัฐฯ เปิดเผยตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกลดลงสู่ระดับ 214,000 ราย ในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 3 สัปดาห์ และต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 230,000 ราย ซึ่ง ณ ระดับดังกล่าวเป็นค่าเฉลี่ยต่อสัปดาห์ในช่วงก่อนเกิดการแพร่ระบาดของ COVID-19 ในสหรัฐฯ ขณะเดียวกันกระทรวงแรงงานสหรัฐฯ รายงานว่า จำนวนชาวอเมริกันที่ยังคงขอรับสวัสดิการว่างงานต่อเนื่องเพิ่มขึ้น 21,000 ราย สู่ระดับ 1.385 ล้านราย

+ Thailand: สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยยอดส่งออกรถยนต์สำเร็จรูปเดือน ก.ย. 2022 อยู่ที่ 100,389 คัน หรือสูงสุดในรอบ 9 เดือน หลังจากสถานการณ์ขาดแคลนชิปคลี่คลาย มีการส่งมอบให้มากขึ้น โดยขยายตัว 35.97% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่มูลค่าการส่งออกรถยนต์อยู่ที่ 91,067.74 ล้านบาท จาก 66,095.86 ล้านบาท ในเดือน ก.ย. 2021

+ Japan: ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ประกาศซื้อพันธบัตรรัฐบาลญี่ปุ่นแบบฉุกเฉินในวานนี้ หลังจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลญี่ปุ่น ประเภท 10 ปี พุ่งขึ้น 0.005% แตะที่ระดับ 0.255% ซึ่งสูงกว่าเพดานที่ BOJ กำหนดไว้ที่ 0.25%

กลยุทธ์การลงทุน แนะนำ Trading Buy (โดยมีจุดขายตัดขาดทุน 3%)

หุ้นแนะนำรายสัปดาห์ : BBL CK AOT

หุ้นแนะนำเก็งกำไร : CK AAV TU