OSP การใช้กลยุทธ์ราคาเพื่อดึงส่วนแบ่งตลาดกลับคืน กดดันมาร์จิ้น

มีการออกสินค้าใหม่ในราคา 10 บาท เพื่อดึงส่วนแบ่งตลาดกลับ

ภายจากที่บริษัทได้เพลี่ยงพล้ำในด้านกลยุทธ์ทางการตลาดหลังจากปรับเพิ่มราคา M150 เป็น 12 บาท จากเพิ่ม 10 บาท ซึ่งทำให้ส่วนต่างทางการตลาดลดลงเหลือ 35% จาก 39% บริษัทได้ออกสินค้าM150 ในราคา 10 บาท เพิ่ม ในเดือน ส.ค.ที่ผ่านมา โดยคาดว่าสินค้าตัวใหม่จะให้บริษัทสามารถเพิ่มยอดขายกลับคืนมาได้ในไตรมาส 4/65 หรือต้นปี 2566

 

ธุรกิจในพม่าเผชิญกับความยากลำบาก

หลังจากที่รัฐบาลพม่าออกมาตรการควบค่าเงิน และควบคุมสินค้านำเข้า ซึ่งทำธุรกิจของบริษัทที่มีการผลิตในประเทศได้ประโยชน์ในเชิงส่วนแบ่งทางการตลาดที่เพิ่มขึ้น เพราะไม่มีคู่แข่ง อย่างไรก็ตาม ประโยชน์อาจจะไม่สามารถชดเชยได้กับผลเสียในด้านกำลังซื้อที่หดตัวรุนหลังจากการมาตรการของทางการ และธุรกิจในพม่าของบริษัทต้องอาศัยการนำเข้าวัตถุดิบซึ่งมีสัดส่วนสูงถึง 90% ซึ่งการขาดแคลนเงินดอลลาร์สหรัฐในการซื้อวัตถุดิบหลักเช่นอลูมิเนียม ทำให้คาดว่าธุรกิจในพม่าจะเผชิญการลดลงของยอดขาย และการหดตัวของมาร์จิ้น

 

 

ต้นทุนการผลิตสินค้าในประเทศเพิ่มขึ้นจากราคาแก๊ส

ต้นทุนแก๊สถือเป็นต้นทุนการผลิตหลักของบริษัทในหลอมขวดแก้ว ซึ่งราคาแก๊สที่สูงขึ้น และการปรับราคาเอฟทีต่อเนื่องถึงปลายปี ทำให้ต้นทุนการผลิตในประเทศเพิ่มสูงขึ้น ตลอดช่วงครึ่งหลังของปีนี้ และอาจจะบรรเทาลงในต้นปีหน้าเมื่อราคาแก๊สมีแนวโน้มลดลง เราคาดว่าราคาแก๊ส และธุรกิจในพม่าเป็นตัวกดดันกำไร 3Q22F ซึ่งคาดว่าจะอยู่ที่ 411 ล้านบาท ลดลง 32% QoQ 29% YoY โดยมีอัตรากำไรขั้นต้นที่ 30.4% (ลดลงจาก 31.2% ใน 2Q22 และ 33.5% ใน 3Q21)

 

ปรับลดประมาณการกำไร 2565/2566 -21%/-20%, ลดลงราคา TP-23F เป็น 29.50 บาท, และลดคำแนะนำเป็น ถือ

โดยกำไรที่ลดลงสะท้อนยอดขายที่ลดลงเป็น +6%/+6% (ลดลงจากประมาณการเดิม +9%/+8% ) ในปี 2565/2566 และปรับลดประมาณการอัตรากำไร (Gross profit margin) เป็น 31%/32% (ลดลงจากประมาณการเดิม 34%/35%) ภายใต้สมมติฐาน PE 28.5 เท่า เราได้ราคาที่เหมาะสมใหม่ที่ 29.5 บาท จากเดิม (38 บาท) ปรับลดคำแนะนำเป็นถือ

 

Risks

ขาดทุนกำไรอัตราแลกเปลี่ยน, สูญเสียส่วนแบ่งทางการตลาด, และมาร์จิ้นลด