SCGP No U-turn in recovery (12 ตุลาคม 2565)

SCGP No U-turn in recovery (12 ตุลาคม 2565)

เราคาดกำไรสุทธิ 3Q65 จะอยู่ที่ 1.73 พันล้านบาท (-7.0% QoQ, -3.0% YoY) แต่หากไม่รวมกำไร Fx 200 ล้านบาท และค่าใช้จ่าย earn-out 375 ล้านบาทใน 2Q65 เราคาดว่ากำไรจากธุรกิจหลักจะอยู่ที่ 1.53 พันล้านบาท (-20% QoQ, ทรงตัว YoY)

ทั้งนี้ ถึงแม้เราจะคาดว่ารายได้จะเพิ่มขึ้น 28% YoY จากการรวมกิจการที่ซื้อเข้าจากการทำดีล M&A แต่เราคาดว่า GPM จะลดลงเหลือ 17.1% ใน 3Q65 (จาก 17.6% ใน 2Q65 และ 17.3% ใน 3Q64) ทั้งนี้ SCGP เริ่มรวมผลการดำเนินงานของ Peute (EBITDA margin อยู่ที่ 2-3% ซึ่งต่ำกว่าของ SCGP ที่ 15-19%) เข้ามาในงบรวมของบริษัทตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2565

 

ฟื้นตัวอย่างเชื่องช้าเพราะถูกกดดันจากทางด้านต้นทุน

เราคาดว่าผลประกอบการที่ซบเซาเป็นผลมาจากต้นทุนที่เพิ่มขึ้น, ปรับราคาขายได้ช้า และปริมาณยอดขาย โดย SCGP ได้รับผลกระทบจากการที่จีนใช้มาตรการ lockdowns เป็นช่วง ๆ และปัญหาภัยแล้งใหญ่ โดยเฉพาะในธุรกิจ integrated packaging (~85% ของยอดขาย) ซึ่งผู้ผลิตที่มีแผนจะนำสินค้าบรรจุภัณฑ์เข้าไปขายในจีนได้เปลี่ยนไปที่ตลาดอื่นแทน สร้างแรงกดดันต่อตลาด ASEAN ของ SCGP อย่างเช่น เวียดนาม และอินโดนีเซีย ในขณะเดียวกัน เราคาดว่าจะต้นทุนจะลดลงชัดเจนขึ้นใน 4Q65 โดยมีช่วงเหลื่อมเวลาประมาณ 2-3 เดือนจากราคาตลาด อย่างไรก็ตาม ธุรกิจ fibrous (~15% ของ
ยอดขาย) ยังเป็นธุรกิจเดียวที่ยังมีแนวโน้มบวกใน 3Q65 แต่ยังไม่พอที่จะช่วยชดเชยปัจจัยลบดังกล่าวข้างต้นได้ เราคิดว่าแนวโน้มผลการดำเนินงานที่สดใสจะมาจากอุปสงค์ของบรรจุภัณฑ์อาหารที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และราคาขายที่เพิ่มขึ้นจากอุปสงค์ที่แข็งแกร่ง และ อุปทานที่ตึงตัวของผลิตภัณฑ์

 

 

หนทางข้างหน้ายังไม่แน่นอน แต่ปลายทางชัดเจนแล้ว

จาก 4Q65 ไป เราเชื่อว่าต้นทุนที่มีแนวโน้มลดลงจะมีน้ำหนักมากกว่าผลกระทบด้านลบจากปัญหาของประเทศจีนดังกล่าวข้างต้น และเศรษฐกิจ ASEAN ที่ฟื้นตัวช้ากว่าที่คาดไว้ เราคิดว่าปัจจัยสำคัญที่ต้องจับตาคือการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน โดยต้องดูดัชนี PMI และตัวเลข GDP เป็นหลัก เราพบว่า spread ของกระดาษรีไซเคิล (AOCC) ในตลาดลดลงในอัตราเร่งใน 3Q65 โดยลดลงมาอยู่ที่ US$200/ton และคาดว่าจะลดลงอีกเพราะอุปสงค์ที่อ่อนแอจากสหรัฐ และ EU ส่วนต้นทุนค่าระวางน่าจะลดลงอีกจากปัญหาคอขวดของสายโซ่อุปทานที่คลี่คลายลงไป และมีเรือใหม่เพิ่มเข้ามาในตลาด โดยสรุปแล้ว เราคิด
ว่าผลประกอบการใน 4Q65 น่าจะเป็นตัวกระตุ้นเพราะต้นทุนที่มีแนวโน้มลดลงจากการลดลงของราคา AOCC, ดัชนีเรือ container (SCFI) และราคาถ่านหิน (ICI4) เราคาดว่านักวิเคราะห์ในตลาดน่าจะปรับลดประมาณการกำไรของ SCGP ลงอีก แต่น่าจะยังดีดตัวขึ้นได้ตั้งแต่ปี 2566F เป็นต้นไป

 

Valuation and action

เรายังคงราคาเป้าหมาย 65 บาท คิดเป็น EV/EBITDA ที่ 13x ถึงแม้ว่าเรามีแนวโน้มจะปรับลดประมาณการกำไรลงหลังประกาศงบ 3Q65 แต่เรายังมองบวกในระยะยาวกับปัจจัยพื้นฐาน เราคิดว่านักลงทุนควรใช้กลยุทธ์ช้อนซื้อถูกที่ราคาปัจจุบันซึ่งราคาหุ้นได้สะท้อนประเด็นความกังวลๆมากแล้ว  ขณะที่ downside น่าจะจำกัดเมื่อมองจากการฟื้นตัวของกำไรจาก 4Q65F ไป ทั้งนี้ นอกจากจะเป็นบริษัทที่แข็งแรงแล้ว หุ้น SCGP ยังเข้าได้กับทั้งธีม re-opening, consumer-linked และ anti-commodity ด้วย

 

Risks

ความผันผวนของราคาวัตถุดิบ และต้นทุนพลังงาน, การด้อยค่าของสินทรัพย์, และความเสี่ยงประเทศ