BDMS ช่วงผลิดอกออกผล (22 กันยายน 2565)

BDMS ช่วงผลิดอกออกผล (22 กันยายน 2565)

เราคาดว่าผลการดำเนินงานของ BDMS ใน 2H65 จะยังคงน่าพอใจ หลังจากที่ผลประกอบการฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่ง YoY ใน 1H65 โดยมีกำไรสุทธิ 6.1 พันล้านบาท (+118.8% YoY)

เรามองว่าปัจจัยกระตุ้นที่สำคัญจะมาจากการที่มีผู้ป่วยต่างชาติมาใช้บริการเพิ่มขึ้น โดยรายได้จากผู้ป่วยต่างชาติใน 2Q65 เพิ่มขึ้น ถึง 69% YoY จากการฟื้นตัวของผู้ป่วยที่บินเข้ามาใช้บริการ ซึ่งได้แก่ ผู้ป่วยจากตะวันออกกลาง (+388%) ออสเตรเลีย (+175%) และจากกลุ่มประเทศ CLMV (กัมพูชา, ลาว, เมียนมาร์ และ เวียดนาม) (+120% YoY) ดังนั้น สัดส่วนรายได้จากผู้ป่วยชาวไทยและต่างชาติจึงเปลี่ยนไปจาก 81:19 ใน 2Q64 เป็น 76:24 ใน 2Q65 โดยจำนวนผู้ป่วยที่บินเข้ามารับบริการเพิ่มขึ้นช่วยให้ occupancy rate โดยรวมเพิ่มขึ้นจาก 60% ใน 2Q64 เป็น 69% ใน 2Q65 ในขณะที่ occupancy rate โดยรวมเพิ่มขึ้นจาก 53% ใน 1H64 เป็น 75% ใน 1H65 เราคาดว่าโมเมนตัมของผู้ป่วยต่างชาติจะยังคงเป็นบวกต่อเนื่องใน 2H65 เนื่องจาก i) การเลื่อนรับการรักษามาจากช่วงก่อนหน้า ii) ผู้ป่วยมี intensity สูง และ iii) ฐานผู้ป่วยกลุ่มประกันที่มีจำนวนมาก

 

ตั้ง Genomic Center เพื่อสนับสนุนโอกาสในอนาคต

เมื่อวันที่ 2 กันยายน BDMS ได้ร่วมมือกับ Novogene AIT Company Limited. (NovogeneAIT) ตั้ง N Health Novogene Genomics Company Limited (NNG) ซึ่งเป็นศูนย์บริการวิเคราะห์ทางการแพทย์ และรักษาด้าน genomics โดยใช้เทคโนโลยี Illumina ซึ่งเป็นนวัตกรรมใหม่ในการจัดเรียง DNA ทั้งนี้ มีการใช้วิธีรักษาโรคด้วยการจัดเรียง DNA ใหม่อย่างกว้างขวางในห้องทดลองระดับโลก ซึ่งโครงการ Genomic Center ของ BDMS และช่วยยกระดับความสามารถวงการแพทย์ของไทยให้เป็นทางเลือกในการรักษา และพัฒนาเป็น Genomic Center สำหรับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยบริษัทตั้งเป้าว่าศูนย์แห่งนี้จะสร้างรายได้เพิ่มปีละ 100 ล้านบาทในปี 2566

 

 

 

 

 

คงประมาณการกำไรเอาไว้เท่าเดิม

เรายังคงมองบวกกับแนวโน้มผลการดำเนินงานที่กลับมาเป็นปกติใน 2H65 และคาดว่าผลประกอบการของ BDMS จะดีขึ้นอย่างต่อเนื่องในอีกสองสามปีข้างหน้า ดังนั้น เราจึงยังคงประมาณการกำไรสุทธิปี 2565F เอาไว้เท่าเดิมที่ 1.016 หมื่นล้านบาท (+28.1% YoY) และปี 2566F ที่ 1.165 หมื่นล้านบาท (+14.6% YoY)

 

Valuation & Action

เรายังคงคำแนะนำซื้อ และขยับไปใช้ราคาเป้าหมาย DCF ปี 2566 ที่ 36.00 บาท (ใช้ WACC ที่ 8.0% และTG ที่ 3.0%)

 

Risks

COVID-19 ระบาด, ปัญหาเสถียรภาพทางการเมืองไทยรอบใหม่, เกิดเหตุก่อการร้ายครั้งใหญ่