FED ขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.75% (22 กันยายน 2565)

FED ขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.75% (22 กันยายน 2565)

วันพุธที่ผ่านมา ดัชนีเคลื่อนไหวในแดนบวกสลับลบ มีแรงขายเร่งตัวช่วงท้ายตลาด เพื่อลดความเสี่ยง โดยนักลงทุนติดตามการประชุมเฟดคืนวันที่ 21 ก.ย. 65 รวมถึง Dot Plot โดยมีแรงซื้อเข้ามาในหุ้นกลุ่ม ICT จากประเด็น TRUE-DTAC ส่วนแรงขายมีในหุ้นกลุ่มค้าปลีก

ส่งผลให้ดัชนี SET Index ปิดตลาดที่ 1,633.45 จุด -5.14 จุด -0.31% มูลค่าการซื้อขาย 70,141 ลบ. ต่างชาติ -1,002.31 ลบ. TFEX +2,996 สัญญา ตราสารหนี้ -1,032.34 ลบ.
 

ปัจจัยบวก  

+ สสว. เปิดเผยรายงานดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการ SME ประจำเดือนส.ค. 2565 อยู่ที่ระดับ 51.2 เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้าที่ระดับ 49.0 สะท้อนได้ว่าผู้ประกอบการ SME กลับมามีความเชื่อมั่นในการดำเนินธุรกิจเพิ่มมากขึ้นผลจากองค์ประกอบด้านคำสั่งซื้อ ปริมาณการผลิต/การค้า/การบริการ การลงทุนและกำไรปรับตัวเพิ่มขึ้น
+ คปภ.ขานรับปลัดคลัง พร้อมให้กองทุนประกันวินาศภัย ยืมเงินเสริมสภาพคล่อง-จ่ายเคลมประกันโควิดสั่งตั้งทีมตรวจสอบทรัพย์สิน
+ ททท. เปิดเผยว่า หลัง ครม. เห็นชอบขยายระยะเวลาต่างชาติพำนักในประเทศไทยสำหรับผู้ได้รับวีซ่านักท่องเที่ยวจากระยะเวลาไม่เกิน 30 วัน เป็นสูงสุดไม่เกิน 45 วัน และขยายระยะเวลาพำนักของวีซ่าหน้าด่านเพิ่มจากปกติสามารถท่องเที่ยวเป็นระยะเวลาไม่เกิน 15 วัน เป็นสูงสุดไม่เกิน 35 วันเริ่มใช้ 1 ต.ค.65 จะส่งผลดีต่อธุรกิจท่องเที่ยวไทยอย่างมีนัย
+/- ศบค.รายงานสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในประเทศวันนี้ ป่วยรายใหม่รักษาในรพ. 806 ราย มีผู้เสียชีวิต 15 ราย รักษาหาย 876 ราย

 

ปัจจัยลบ  

- ดัชนีดาวโจนส์ปิด ร่วงลง 522.45 จุด -1.70% ส่วนดัชนี ดาวโจนส์ ฟิวเจอร์ยังร่วงต่อเช่นกัน หลังจากเฟดมีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น 0.75% สู่ระดับ 3.00-3.25% ซึ่งเป็นการปรับขึ้นดอกเบี้ย 0.75% ในการประชุม 3 ครั้งติดต่อกัน และยืนยันว่าจะเดินหน้าปรับขึ้นดอกเบี้ยต่อไปในปี 2566 เพื่อสกัดเงินเฟ้อ
- สัญญาน้ำมันดิบ WTI ลดลง 1 ดอลลาร์ หรือ 1.2% ปิดที่ 82.94 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังจากเฟด ประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 0.75% ซึ่งทำให้นักลงทุนกังวลว่าจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและความต้องการใช้น้ำมัน
 

 

- การคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Dot Plot) ระบุว่าอัตราดอกเบี้ยจะแตะระดับ 4.4% ในช่วงสิ้นปีนี้ และแตะ 4.6% ในสิ้นปี 2566 เพิ่มขึ้นจากการคาดการณ์ในเดือนมิ.ย.ซึ่งระบุว่าอัตราดอกเบี้ยจะแตะระดับ 3.4% ในช่วงสิ้นปีนี้ และแตะระดับ 3.8% ในสิ้นปี 2566
- ADB ปรับประมาณการเศรษฐกิจไทยในปี 2565 ลงมาอยู่ที่ 2.9% จากเดิม 3.0% เมื่อเดือนเมษายนและปรับลดลงมาอยู่ที่ 4.2% จาก 4.5% สำหรับปี 2566 เพราะราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่สูงขึ้นหลังความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครน เศรษฐกิจคู่ค้าที่ชะลอตัวลง การลงทุนในประเทศลดต่ำลง และอัตราเงินเฟ้อในระดับสูง
- ปธน.วลาดิเมียร์ ปูติน ผู้นารัสเซีย ประกาศระดมกำลังพลบางส่วนในรัสเซีย พร้อมระบุว่าจะใช้ทุกวิถีทางในการปกป้องรัสเซีย และจะผนวกทุกดินแดนที่ทหารรัสเซียยึดครองสำเร็จ ถือเป็นการยกระดับการทำสงครามกับยูเครน ขณะที่ปฏิบัติการรุกรานยูเครนล่วงเข้าสู่เดือนที่ 7

 

แนวโน้มตลาดวันนี้

คาดดัชนีในวันนี้อ่อนตัวลงตามทิศทางตลาดโลก หลังจากเฟดมีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น 0.75% สู่ระดับ 3.00-3.25% ขณะที่ Dot Plot คาดว่าอัตราดอกเบี้ยจะแตะระดับ 4.4% ในช่วงสิ้นปีนี้ และแตะ 4.6% ในสิ้นปี 2566 ประกอบกับราคาน้ำมันดิบ WTI ที่ปรับตัวลงเป็นตัวกดดันหุ้นกลุ่มพลังงาน คาดกรอบดัชนีในวันนี้ที่ 1,620-1,635 จุด

 

กลยุทธ์การลงทุน

• ผู้ป่วยต่างชาติเพิ่มขึ้น : BH BDMS D
• วิกฤติพลังงานยุโรป+จีนเริ่มใช้ถ่านหินผลิตไฟฟ้าเพิ่มขึ้น : PRM VL BANPU LANNA AGE
• นายกฯ ออกเกณฑ์ให้ต่างชาติได้ BOI ถือกรรมสิทธิ์ที่ดินได้ : WHA AMATA ROJNA
• หุ้นซ่อมแซมหลังน้ำท่วม : GLOBAL DOHOME HMPRO TOA COTTO DCC TASCO
• iPhone 14 กระแสตอบรับดี : COM7, SPVI, CPW, JMART

 

หุ้นรายงานพิเศษ

                                                                               MC
                                          (ราคาเหมาะสม Bloomberg Consensus 12.15 บาท)

FED ขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.75% (22 กันยายน 2565)

•พานักวิเคราะห์เยี่ยมชม Mc outlet เมืองทองธานีซึ่งเป็นร้านนอกปั๊มน้ำมันปตท.ใหญ่ที่สุดสาขาแรกพื้นที่กว่า 400 ตรม. ได้การตอบรับดีมีลูกค้าเดินเข้าร้าน (traffic) ค่อนข้างสูง สร้างยอดขายได้เกิน 1 ล้านบาทต่อเดือน ทำให้มีโอกาสคืนทุนได้ใน 1 ปีครึ่ง ปลายมิ.ย. ที่ Mc outlet 72 สาขาตั้งเป้าเปิดเพิ่มให้ครบ 87สาขาภายใน มิ.ย. 66

•ผลประกอบการงวด 1Q65/66 (ก.ค.-ก.ย. 65) มีแนวโน้มดีจากยอดขายกลับมาใกล้เคียงช่วงก่อนเกิดโควิด-19 ระบาดได้รับผลดีจากสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลาย เสริมด้วยแคมเปญกระตุ้นยอดขาย งวด 2Q65/66 (ต.ค.-ธ.ค. 65) เป็นช่วงไฮซีซั่นที่จะช่วยสนับสนุนยอดขายเติบโตต่อเนื่อง

ความเห็น ฝ่ายวิจัยมีมุมมองบวกต่อผลประกอบการที่มีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่องจากฐานที่ต่ำในปีที่ผ่านมา อัตรากำไรขั้นต้นและอัตรากำไรสุทธิอย่างต่ำที่ราว 65% และ 16% ตามลำดับ ทั้งนี้ Bloomberg Consensus คาดกำไรปี 66 เฉลี่ย 575 ล้านบาท +18%YoY ควบด้วย yield ที่สูงราว 6% (IAA consensus) แนะนำ ซื้อ

 

หุ้นมีข่าว

(+) CRC ( Bloomberg Consensus 45.70 บาท) แตกไลน์ธุรกิจสุขภาพ เปิดตัวธุรกิจร้าน "ท็อปส์วีต้า" จำหน่ายอาหารเสริมครบวงจร เจาะกลุ่มวัยทำงาน พร้อมทุ่มงบ 200 ล้านบาท ขยายสาขา 150 สาขาในปี 2567 พร้อมวางหมากโกยยอดขายทะลุ 1.5 พันล้านบาท ในปี 2570 % (ที่มา ทันหุ้น)

(+) RT ( Bloomberg Consensus 1.65 บาท) เผยเซ็นงานก่อสร้างอุโมงค์โครงการรถไฟทางคู่ สายเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ สัญญา 2 ช่วงงาว-เชียงราย มูลค่า 2,157 ล้านบาท คาดเริ่มก่อสร้างและรับรู้รายได้ในไตรมาส 4/2565 ดันแบ็กล็อกทะลุเป้า 9,375 ล้านบาท ฟากโบรกส่องผลงานครึ่งปีหลัง 2565 ฟื้นตัว จากการรับงานใหม่ ปัญหาขาดแคลนแรงงานคลี่คลาย คาดปี 2566 พลิกเป็นกำไร (ที่มา ทันหุ้น)

(+) OSP (Bloomberg consensus 34.25 บาท) รุกเครื่องดื่มวิตามินซี 200% ครองมาร์เก็ตแชร์สูงสุด พร้อมตั้งเป้ายอดขาย "ซีวิท" ปีนี้แตะ 4,000 ล้านบาท ทำนิวไฮ หลังซีวิท สูตรใหม่ น้ำตาล 0% ขยายตลาดเจาะกลุ่มคนทำงานและคนรุ่นใหม่สายรักสุขภาพ และเป็นกลุ่มผู้บริโภคที่มีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง (ที่มา ทันหุ้น)

(+) SAPPE (Bloomberg consensus 48.50 บาท) ตลาดส่งออกเติบโตแรง สัดส่วนดันเพิ่มเป็น 70% หลังเงินบาทอ่อนค่าต่อเนื่อง ยอดขายขยายตัว ตลาดยุโรปโอกาสทอง ทั้งปียอดขายตามเป้า 30% ยอดขายไตรมาส 3/2565 โตต่อ เจรจา M&A ต่อเนื่อง แถมรับอานิสงส์เลื่อนเก็บภาษีความหวานไปอีก 6 เดือน (ที่มา ทันหุ้น)