XO 2H65 ชะลอตัว แต่ปี 66 กลับมาเติบโต (16 ก.ย. 2565)

XO 2H65 ชะลอตัว แต่ปี 66 กลับมาเติบโต (16 ก.ย. 2565)

รายงานกำไรปี 2Q65 ทรงตัว QoQ แต่หดตัว 39%YoY จากรายได้ชะลอตัวและวัตถุดิบปรับขึ้นราคา : บริษัทมีรายได้ 2Q65 ที่ 390.6 ลบ. เติบโต 13%QoQ แต่หดตัว 14%YoY โดยรายได้หดตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อนเนื่องจากยุโรปเริ่มคลายล็อกดาวน์ทำให้ประชาชนประกอบอาหารที่บ้านลดลง

ขณะที่ %GPM อ่อนตัวลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ 46.5% สู่ 41.8% เนื่องจากรายได้ลดลงทำให้อัตราการใช้กำลังการผลิตลดลง นอกจากนี้ต้นทุนบรรจุภัณฑ์ที่ปรับตัวขึ้นกดดัน %GPM ด้านสัดส่วนค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารต่อยอดขายปรับตัวขึ้นจาก 11.4% สู่ 15.1% ของยอดขายเนื่องจากรายได้ปรับตัวลงขณะที่ค่าใช้จ่ายในการบริหารเป็นค่าใช้จ่ายคงที่ และมีค่าใช้จ่ายการตลาดในงานแสดงสินค้าเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ บริษัทรายงานกำไร 6M65 ที่ 190 ลบ. หดตัว 27%YoY และคิดเป็น 55% ของประมาณการปี 65 

-  คาดผลประกอบการ 2H65 ชะลอตัวจาก 1H65 : ฝ่ายวิจัยคาดว่ารายได้ 2H65 จะอ่อนตัวลง YoY เนื่องจากคู่แข่งหลักจะกลับมาดำเนินการผลิตในเดือน ก.ย. 65 และประชาชนในยุโรปได้รับผลกระทบจากอัตราเงินเฟ้อที่ทรงตัวในระดับสูงทำให้มีการเปลี่ยนพฤติกรรมในการบริโภค ขณะที่ %GPM มีโอกาสอ่อนตัวลงจาก 1H65 เนื่องจากต้นทุนบรรจุภัณฑ์ที่ปรับตัวขึ้นตามราคาน้ำมัน อย่างไรก็ตามบริษัทยังคงเป้า %GPM สูงกว่า 40% (%GPM 1H65 อยู่ที่ 42.7%) เนื่องจากเตรียมปรับเพิ่มราคาขายขึ้น 3-5% เพื่อลดผลกระทบต้นทุนขายที่ปรับตัวขึ้น
 

 

 

- ปรับลดประมาณการกำไรปี 65 จาก 359 ลบ.เหลือ 347 ลบ.ลดลง 3% จากประมาณการเดิม : ฝ่ายวิจัยปรับลดคาดการณ์รายได้ปี 65 ลงจาก  1.59 พันลบ. เหลือ 1.42 พันลบ. ลดลง 11% จากประมาณการเดิม และหดตัว 7% จากปี 64 เนื่องจาก 1) ปัญหาการขนส่งทางเรือที่ล่าช้า 2) ประชาชนในยุโรปได้รับผลกระทบจากอัตราเงินเฟ้อที่ทรงตัวในระดับสูง และ 3) คู่แข่งกลับมาดำเนินการผลิตในเดือน ก.ย.65 โดยเราปรับลดอัตรากำไรขั้นต้นลงจาก 42.5% เหลือ 41% เนื่องจากต้นทุนบรรจุภัณฑ์ที่ปรับตัวขึ้น (บริษัทได้ล็อกราคาน้ำตาล พริก และกระเทียมไปจนถึงปลายปี 65) เราจึงปรับประมาณการกำไรปี 65 ลงเหลือ 347 ลบ. หดตัว 25% จากปี 64 ทั้งนี้เราคาดว่ารายได้และกำไรปี 66 อยู่ที่ 1.56 พันลบ. และ 368 ลบ. เติบโต 10%YoY และ 3%YoY ตามลำดับ เนื่องจากเราคาดว่าอัตราเงินเฟ้อได้ผ่านจุดสูงสุดไปแล้วและธนาคารกลางประเทศต่างๆ ทยอยขึ้นดอกเบี้ยเพื่อสกัดเงินเฟ้อทำให้ยอดขายมีโอกาสกลับมาเติบโต

-  ปรับลดคำแนะนำลงเหลือ “ถือ” พร้อมปรับเพิ่มราคาเหมาะสมสู่ 15.60 บาท : ฝ่ายวิจัยประเมินราคาเหมาะสมด้วยวิธี Prospective PE ที่ระดับ PE ราว 19 เท่า ซึ่งเป็นค่าเฉลี่ย PE Ratio ย้อนหลัง 3 ปี และคาดกำไรต่อหุ้นปี 65 ที่ 0.82 บาทต่อหุ้น ได้ราคาเหมาะสมที่ 15.60 บาทเพิ่มขึ้นจากปี 64 ที่ 15.00 บาท ซึ่งมี Upside จากราคาปิดล่าสุดไม่มากจึงปรับลดคำแนะนำจาก “ซื้อ” เหลือ “ถือ”
 

ความเสี่ยง
i)    ราคาวัตถุดิบปรับตัวขึ้น
ii)   ยุโรปเผชิญกับค่าครองชีพแพงจากต้นทุนพลังงานปรับตัวขึ้น
iii)  การแพร่ระบาดโควิด-19 สิ้นสุดลง