GULF Maiden step into the US (12 กันยายน 2565)

GULF Maiden step into the US (12 กันยายน 2565)

ปรับเพิ่มประมาณการกำไร และราคาเป้าหมาย, มุมมองของเราต่อการซื้อหุ้น Jackson Generation

เข้าไปลงทุนในโรงไฟฟ้าพลังก๊าซในสหรัฐ

GULF เข้าทำสัญญาซื้อหุ้นกับ J-POWER (หนึ่งในกิจการ IPPs ที่ใหญ่ที่สุดในโลก และเป็นพันธมิตรของ GULF) เพื่อเข้าไปลงทุน 49% ในโรงไฟฟ้าที่ใช้ก๊าซเป็นเชื้อเพลิงในสหรัฐ (Jackson Generation) ด้วยงบลงทุน 409.6 ล้านดอลลาร์ฯ (1.49 หมื่นลบ.) บริษัทแห่งนี้ขายไฟฟ้าให้กับ Pennsylvania-New Jersey-Maryland Interconnection (PJM) ผ่านตลาด merchant market ซึ่งเป็นองค์การที่ดูแลการจัดส่งไฟฟ้าระดับภูมิภาคที่มี reliability และอุปสงค์ใช้ไฟฟ้าในมือสูงที่สุดในสหรัฐ ทั้งนี้ Jackson Generation อ้างว่าเป็นโครงการที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการผลิตไฟฟ้าต่ำที่สุดในบรรดาโรงไฟฟ้าที่ใช้ก๊าซเป็นเชื้อเพลิงในสหรัฐ โดยโรงไฟฟ้าแห่งนี้ตั้งอยู่ที่รัฐ Illinois มีกำลังการผลิตไฟฟ้า 1,200MW และเริ่มเปิดดำเนินการมาตั้งแต่วันที่ 4 พฤษภาคม 2565 GULF กำหนดจะปิดดีลนี้ในเดือนธันวาคม 2565

 

ก้าวใหม่ในตลาดที่มีแนวโน้มการเติบโตสูง

ผู้บริหารมองดีลนี้จะส่งผลดีต่อ GULF 3 ด้าน ด้านแรกดีลนี้จะทำให้กำลังการผลิตของ GULF เพิ่มขึ้น 588MWe หรือ 7.3% ของ 8,090MWe เป็น 8,678Mwe ด้านที่สอง Jackson Generation เหนือกว่าโรงไฟฟ้าละแวกใกล้เคียงในแง่ของ heat rate ที่ต่ำกว่า (Figure 2-5) จากแหล่งก๊าซและน้ำที่สมบูรณ์,เทคโนโลยีที่ทันสมัย และอายุน้อย ส่วนด้านที่สาม ดีลนี้จะยิ่งทำให้ความสัมพันธ์ระหว่าง GULF และ JPOWER (ซึ่งเป็นพันธมิตร GULF มาหลายปี ) แนบแน่นขึ้น อีกทั้งการที่ดีลนี้เป็นการเจรจาโดยตรงกับผู้ขาย ไม่ได้ผ่านประมูล จึงทำให้ได้ราคาดีที่ US$0.7/MW (เมื่อเทียบกับดีลที่ Electricity Generating (EGCO.BK/EGCO TB)* เข้าซื้อ Linden ที่ US$0.7/MW และดีลที่ Banpu Power (BPP.BK/BPP TB)* เข้าซื้อ Temple I ที่ US$0.6/MW) ทั้งนี้ GULF คาดว่าจะหาดีลลงทุนในตลาดที่มีศักยภาพการเติบโตของอุปสงค์สูงอย่างสหรัฐได้อีก โดยอาจเป็นพลังงานหมุนเวียน, LNG และธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานอื่น ๆ

 

 

 

มุมมองของเรา – เป็นบวก

เรามองบวกกับการเข้าลงทุนนี้ ซึ่งเป็นการโครงการใหญ่โครงการแรกที่ GULF เข้าไปลงทุนในปีนี้ เราได้ปรับเพิ่มกำไรปี 2565F ขึ้นอีก 3-8% เพื่อสะท้อนถึง i) กำไรของ Jackson Generation (1.5-2 พันล้านบาทต่อปี) โดยอิงจาก EIRR ของโครงการที่ 18%, สัดส่วน D/E ที่ 1:1, อายุของ PPA ที่ 40 ปี, capacity factor ที่ 85%, AF ที่ 95% และ ii) สัดส่วนการถือครองหุ้นใน BKR2 ที่ลดลง (เหลือ 25% จากเดิม 50%)

ทั้งนี้ เราคาดว่ากำไรสุทธิในปี 2565-2567 จะโตถึง 28% YoY CAGR ซึ่งสูงกว่าของหุ้นอื่นในกลุ่ม ในขณะเดียวกัน เรายังคาดว่าผลการดำเนินงานของ GULF ใน 2H65 จะออกมาน่าประทับใจด้วยเช่นกัน

 

Valuation & Action

เรายังแนะนำ ซื้อ และเพิ่มราคาเป้าหมาย DCF เป็น 60 บาท (เดิม 57 บาท) เรายังคงเลือก GULF เป็นหุ้นเด่น โดยคาดว่าหุ้นจะยังคง outperform หุ้นในกลุ่ม และมองเห็น upside ราว 3 บาท/หุ้น จากความเป็นไปได้ 100% ของโรงไฟฟ้าพลังน้ำสามโครงการ จากปัจจุบันที่เราใส่ไว้ในประมาณการ 80%

 

Risks

ปิดโรงไฟฟ้านอกแผน, ปัญหา cost overruns, และความผันผวนจาก Fx และอัตราดอกเบี้ย