KTB มีศักยภาพเติบโตรายได้หลายส่วนช่วยชดเชยค่าใช้จ่ายที่จะเพิ่มในปีหน้า

KTB มีศักยภาพเติบโตรายได้หลายส่วนช่วยชดเชยค่าใช้จ่ายที่จะเพิ่มในปีหน้า

ปรับเพิ่มประมาณการกำไรสุทธิปี 2565/2566 และขยับไปใช้ราคเป้าหมายปี 2566F

สามารถปรับราคา yield ของสินทรัพย์ได้ตามดอกเบี้ยที่สูงขึ้น

เนื่องจาก KTB ปรับพอร์ตสินเชื่อไปเน้นสินเชื่อธุรกิจ และสินเชื่อภาครัฐเป็นหลัก ซึ่งอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ของสินเชื่อกลุ่มนี้อิงกับอัตราผลตอบแทนพันธบัตร และอัตราดอกเบี้ยในตลาดเงิน  ดังนั้น การที่ดอกเบี้ยเข้าสู่วัฏจักรขาขึ้นจะทำให้ธนาคารสามารถปรับราคา yield สินเชื่อเพิ่มเพิ่ม margin ได้ ซึ่งเราเห็นแนวโน้มดังกล่าวเกิดขึ้นแล้วใน 2Q65 ซึ่งอัตราผลตอบแทนของการปล่อยกู้ในตลาดเงิน และการปล่อยสินเชื่อทำให้ margin เพิ่มขึ้น 10bps QoQ ทั้งนี้ เนื่องจากเราคาดว่าจะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีกในเดือนกันยายน 2565 เราจึงคาดว่า KTB จะสามารถเพิ่ม yield จากการปล่อยกู้ในตลาดเงิน และของสินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่และทำให้ NIM เพิ่มขึ้นได้อีก

 

Credit cost ยังคงอยู่ในระดับต่ำ

KTB เน้นขยายสินเชื่อกลุ่มที่มีความเสี่ยงต่ำ ซึ่งได้แก่สินเชื่อภาครัฐ และสินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่มาตั้งแต่ก่อน COVID ระบาดในปี 2562 แล้ว โดยในปัจจุบัน สินเชื่อภาครัฐคิดเป็นสัดส่วน 20% ของพอร์ตสินเชื่อรวมของธนาคาร (เพิ่มขึ้นจากเพียง 8% ของพอร์ตสินเชื่อก่อน COVID ระบาด) ในขณะที่สินเชื่อธุรกิจคิดเป็น 27% ของสินเชื่อรวม นอกจากนี้ สินเชื่อรายย่อยส่วนใหญ่ (40% ของสินเชื่อรวม) เป็นสินเชื่อที่ผูกกับเงินเดือนของพนักงานรัฐวิสาหกิจ ดังนั้น เราจึงคิดว่า KTB มีสัดส่วนสินเชื่อกลุ่มที่มีความเสี่ยงต่ำสูงถึงประมาณ 70% ของสินเชื่อรวม ซึ่งการที่ฐานสินเชื่อความเสี่ยงต่ำของธนาคารมีขนาดใหญ่น่าจะทำให้ธนาคารสามารถลด credit cost ใน 2H65 และในปี 2566 ลงได้อีก เนื่องจากมีเพิ่มส่วนรองรับหนี้เสียก้อนใหญ่ไปแล้วในช่วงปี 2564-1H65 โดยสัดส่วน NPL coverage แข็งแกร่งอยู่ที่ 168% (สูงที่สุดในกลุ่มธนาคารใหญ่)

 

 

 

ยังมีช่องทางเติบโตรายได้เพื่อบริหารจัดการต้นทุนที่เพิ่มขึ้นในปี 2566

เราคิดว่า KTB มีความยืดหยุ่นในการบริหารจัดการต้นทุนการประกันเงินฝาก ซึ่งจะเพิ่มขึ้น 0.23% โดยไม่มีความเสี่ยงต่อผลประกอบการ ซึ่งในการบริหารจัดการต้นทุนส่วนนี้ KTB อาจจะปล่อยกู้สินเชื่อธุรกิจ/ปล่อยกู้ในตลาดเงินเพิ่มขึ้น หรือลด credit cost ลงอีกก็ได้ ทั้งนี้ เพื่อเพิ่มสัดส่วน NPL coverage KTB ได้ปรับเพิ่ม credit cost เป็น 129bps ในปี 2564 และเป็น 85bps ใน 1H65 ทั้งนี้ มีการลดต้นทุนการประกันเงินฝากลงครึ่งหนึ่งในช่วงที่ COVID ระบาดในปี 2563-65 แต่จะกลับขึ้นไปอยู่ระดับปกติที่ 0 .46% ในช่วงต้นปี 2566

 

ขยับไปใช้ราคาเป้าหมายปี 2566F ที่ 18.80 บาท (จากเดิมที่ 17 บาท)

เราปรับเพิ่มประมาณการกำไรสุทธิปี 2565/2566 ขึ้นอีก 11%/15% เพื่อสะท้อนถึงการปรับสมมติฐาน 1) credit cost ปี 2565/2566 ลดลงเหลือปีละ 85bps (จาก 100bps) 2) NIM เพิ่มขึ้น 5bps/7bps และ เราขยับไปใช้ราคาเป้าหมายปี 2566 ที่ 18.80 บาท (จากเดิมที่ 17 บาท) อิงจาก PBV ที่ 0.65xและคิดเป็น PE ที่ 7.5x

 

Risks

เพิ่มรายได้ไม่สำเร็จ, NPL เพิ่มขึ้น, และค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานเพิ่มขึ้น