'ทรัมป์' ออกจาก 'ข้อตกลงปารีส' อีกครั้ง ย้ำสหรัฐจะขุดเจาะน้ำมันต่อไป

การดำเนินการ และนโยบายของสหรัฐอเมริกา มักจะเป็นหนึ่งในการกำหนดแนวทางริเริ่มด้านสภาพภูมิอากาศระดับโลก อย่างไรก็ตาม สหรัฐ มีความสัมพันธ์ที่ผันผวนกับข้อตกลงนี้ โดยสังเกตได้จากการถอนตัวภายใต้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และการกลับเข้าร่วมภายใต้ประธานาธิบดีโจ ไบเดน
KEY
POINTS
- โดนัลด์ ทรัมป์ ได้ลงนามในคำสั่งบริหาร ให้สหรัฐ ถอนตัวจากข้อตกลงปารีสเป็น ครั้งที่ 2
- ข้อตกลงปารีสที่มีเป้าหมายเพื่อจำกัดภาวะโลกร้อนให้อยู่ที่ 1.5 องศา
- ทรัมป์ให้เหตุผลว่า ข้อตกลงปารีสกำหนดภาระทางเศรษฐกิจที่ไม่เป็นธรรมต่อสหรัฐ
- การเคลื่อนไหวนี้ได้รับการวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางจากนักสิ่งแวดล้อม และผู้นำระดับนานาชาติ
- โฆษกกระทรวงต่างประเทศของจีน มีความกังวลเกี่ยวกับการประกาศดังกล่าว
- สหรัฐ เสี่ยงสูญเสียความเป็นผู้นำ เพราะมูลค่าเทคโนโลยีพลังงานสะอาดจะเพิ่มขึ้นเป็นสามเท่า
ความเคลื่อนไหวที่ไม่ได้สร้างความแปลกใจมากนัก คือ “โดนัลด์ ทรัมป์” ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา คนที่ 47 ได้ลงนามในคำสั่งบริหาร (Executive Orders) ให้สหรัฐ ถอนตัวจากข้อตกลงปารีส (Paris Agreement) อีกครั้ง
เพราะทรัมป์เคยให้สัมภาษณ์กับ WPXI เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2024 เมื่อถูกถามถึงการเข้าร่วมข้อตกลงปารีส และความร่วมมือระหว่างประเทศ เขากล่าวว่า สหรัฐอเมริกาจะต้องออกจากข้อตกลงปารีสอีกครั้ง เพราะข้อตกลงนี้เป็นการฉ้อโกง
"เราจ่ายเงิน 1 ล้านล้านดอลลาร์ แต่ประเทศอื่นไม่ต้องจ่ายอะไรเลย จีนไม่จ่ายอะไรเลย ... เป็นข้อตกลงข้างเดียวที่ไร้สาระ"
โดยการถอนตัวจากข้อตกลงปารีสอีกครั้งเกิดขึ้นเพียงไม่กี่ชั่วโมงหลังจากที่เขาสาบานตนเข้ารับตำแหน่งในสมัยที่สอง เมื่อวานนี้ (วันจันทร์ที่ 20 มกราคม 2025)
ความสัมพันธ์ที่ผันผวนของสหรัฐกับข้อตกลงปารีส
- 22 เมษายน 2016 : สหรัฐ เซ็นสัญญาข้อตกลงปารีสในระหว่างพิธีเปิดที่สหประชาชาติ
- 4 พฤศจิกายน 2016 : ข้อตกลงปารีสมีผลบังคับใช้หลังจากมีประเทศเพียงพอที่ให้สัตยาบันรวมถึงสหรัฐ
- 1 มิถุนายน 2017 : ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ประกาศความตั้งใจที่จะถอนตัวออกจากข้อตกลงปารีส
- 4 พฤศจิกายน 2019 : ได้เริ่มกระบวนการที่เป็นทางการในการถอนตัวของสหรัฐ
- 4 พฤศจิกายน 2020 : สหรัฐ ได้ถอนตัวออกจากข้อตกลงปารีสอย่างเป็นทางการ หลังจากกระบวนการถอนตัวเริ่มต้นเป็นเวลา 1 ปี
- 20 มกราคม 2021 : ในวันแรกของการดำรงตำแหน่ง ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ลงนามในคำสั่งบริหารให้กลับเข้าร่วมข้อตกลงปารีส
- 19 กุมภาพันธ์ 2021 : สหรัฐ ได้กลับเข้าร่วมข้อตกลงปารีสอย่างเป็นทางการ หนึ่งเดือนหลังจากคำสั่งบริหารของไบเดน
มีผลบังคับใช้อีกหนึ่งปีข้างหน้า
Paris Agreement เป็นข้อตกลงที่กว่า 195 ประเทศร่วมมีเป้าหมายจำกัดภาวะโลกร้อนในระยะยาวให้อยู่ที่ 1.5 องศาเซลเซียส หรือหากไม่สามารถทำได้ ให้รักษาอุณหภูมิให้อยู่ต่ำกว่า 2 องศาเซลเซียส เหนือระดับก่อนยุคอุตสาหกรรม
ซึ่งประเทศต่างๆ ต้องกำหนดเป้าหมายในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการเผาถ่านหิน น้ำมัน และก๊าซธรรมชาติ เป้าหมายเหล่านี้จะต้องเข้มงวดขึ้นเรื่อยๆ โดยประเทศต่างๆ จะต้องมีแผนใหม่ภายในเดือนกุมภาพันธ์ 2025 โดยขณะที่รัฐบาล "โจ ไบเดน" ที่พ้นตำแหน่งได้เสนอแผนที่จะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของสหรัฐ เอาไว้มากกว่า 60% ภายในปี 2035
ทั้งนี้ สหรัฐ ต้องแจ้ง “อันโตนิโอ กูเตอร์เรส” เลขาธิการสหประชาชาติ (United Nations) อย่างเป็นทางการเกี่ยวกับการถอนตัว ซึ่งภายใต้เงื่อนไขของข้อตกลง จะมีผลบังคับใช้อีกหนึ่งปีข้างหน้า
การถอนตัวของสหรัฐ ทำให้ประเทศนี้อยู่ในกลุ่มประเทศที่ไม่เข้าร่วมข้อตกลง เช่น อิหร่าน ลิเบีย และเยเมน ถึงแม้กระบวนการถอนตัวใช้เวลาหนึ่งปี แต่คาดว่าจะมีผลกระทบอย่างมากต่อความพยายามระดับโลกในการแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
โดยผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าการถอนตัวของสหรัฐ อาจขัดขวางความก้าวหน้าระหว่างประเทศในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และทำให้ผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศรุนแรงขึ้น
ขัดขวางอิสระด้านพลังงานฟอสซิล
ประธานาธิบดีทรัมป์ให้เหตุผลว่าข้อตกลงปารีสกำหนดภาระทางเศรษฐกิจที่ไม่เป็นธรรมต่อสหรัฐ และขัดขวางความเป็นอิสระด้านพลังงานของประเทศ เพราะแนวทางของทรัมป์ต่อความยั่งยืนมีรากฐานมาจากการส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจ และรักษาความเป็นอิสระด้านพลังงาน
แนวทางของทรัมป์ต่อความยั่งยืนมีรากฐานมาจากการส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจ และรักษาความเป็นอิสระด้านพลังงาน โดยนโยบายของเขาจะลดข้อจำกัดด้านกฎระเบียบต่ออุตสาหกรรมเชื้อเพลิงฟอสซิล ซึ่งการขยายตัวของเชื้อเพลิงฟอสซิลในอดีตของทรัมป์บ่งชี้ว่า นโยบายด้านพลังงานของเขาจะยังคงให้ความสำคัญกับภาคส่วนพลังงานแบบดั้งเดิมต่อไป
ทรัมป์เคยกล่าวไว้ว่า “สหรัฐจะไม่ทำลายอุตสาหกรรมของตนเอง ในขณะที่จีนปล่อยมลพิษอย่างไม่ต้องรับโทษ”
เพราะจีนจัดอยู่ในกลุ่ม "ประเทศกำลังพัฒนา" จึงภาระการเงินภายใต้ข้อตกลงปารีสที่ต่างจากประเทศพัฒนาแล้ว และจีนไม่จำเป็นต้องชำระเงินในแบบเดียวกัน
จีน แสดงความกังวล
ขณะที่ "กัว เจียคุน" โฆษกกระทรวงต่างประเทศของจีนกล่าวในการแถลงข่าวประจำวันอังคาร ว่ามีความกังวลเกี่ยวกับการประกาศดังกล่าว โดยระบุว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นปัญหาที่มนุษย์ทุกคนต้องเผชิญร่วมกัน
“ไม่มีประเทศใดสามารถหลีกหนีจากปัญหานี้ได้ และประเทศใดก็ไม่สามารถดำเนินการได้เพียงลำพัง จีนดำเนินการอย่างต่อเนื่องในการแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และจะตอบสนองต่อความท้าทายเหล่านี้อย่างแข็งขัน และร่วมกันส่งเสริมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและคาร์บอนต่ำทั่วโลก”
สหรัฐเสี่ยงสูญเสียความเป็นผู้นำ
"ลอเรนซ์ ทูเบียนา" ซีอีโอของมูลนิธิเพื่อสภาพอากาศยุโรป และสถาปนิกคนสำคัญของข้อตกลงปารีส กล่าวว่า แผนการถอนตัวของสหรัฐ เป็นเรื่องน่าเสียดาย แต่การดำเนินการเพื่อชะลอการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศนั้นแข็งแกร่งกว่าการเมือง และนโยบายของประเทศใดประเทศหนึ่ง
บริบทการออกจากข้อตกลงปารีสของทรัมป์ในปีนี้ แตกต่างจากครั้งที่ออกเมื่อปี 2017 เพราะครั้งนั้นมีแรงผลักดันทางเศรษฐกิจ ซึ่งสหรัฐ ได้รับ และเป็นผู้นำ แต่ตอนนี้เสี่ยงที่จะสูญเสียไป เพราะสำนักงานพลังงานระหว่างประเทศคาดว่าตลาดโลกสำหรับเทคโนโลยีพลังงานสะอาดที่สำคัญจะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นเป็นสามเท่าเป็นมากกว่า 2 ล้านล้านดอลลาร์ภายในปี 2035
ผลกระทบจากวิกฤติสภาพภูมิอากาศยังเลวร้ายลงอีกด้วย เช่น ไฟป่าอันเลวร้ายในลอสแอนเจลิสเป็นเครื่องเตือนใจว่า ชาวอเมริกันได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่เลวร้ายลงเช่นเดียวกับคนทั่วไป
UN มั่นใจ ระดับท้องถิ่นสหรัฐดันประเด็นสิ่งแวดล้อม
"อันโตนิโอ กูเตอร์เรส" เลขาธิการสหประชาชาติ มั่นใจว่าเมือง รัฐ และธุรกิจต่างๆ ของสหรัฐ จะยังคงแสดงวิสัยทัศน์ และความเป็นผู้นำด้วยการทำงานเพื่อการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ยืดหยุ่น และปล่อยคาร์บอนต่ำ ซึ่งจะสร้างงานที่มีคุณภาพ
"สหรัฐ ยังคงเป็นผู้นำในประเด็นด้านสิ่งแวดล้อมต่อไป ความพยายามร่วมกันภายใต้ข้อตกลงปารีสทำให้เกิดความแตกต่าง แต่เราจำเป็นต้องดำเนินการให้มากขึ้น และเร็วขึ้นร่วมกัน"
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์