เรียนรู้จากเฟดเมื่อต้องตัดสินใจท่ามกลาง ความไม่แน่นอน

สัปดาห์ที่แล้วธนาคารกลางสหรัฐหรือเฟด ตัดสินใจคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ร้อยละ 4.25-4.50 ต่อปี ท่ามกลางแรงกดดันมากมายทั้งเศรษฐกิจและการเมือง
การเมืองคือแรงกดดันจากประธานาธิบดีทรัมป์ที่ต้องการให้เฟดลดอัตราดอกเบี้ย เศรษฐกิจคือตัวเลขล่าสุดที่แสดงว่าเศรษฐกิจสหรัฐเริ่มอ่อนแอ ขณะที่อัตราเงินเฟ้อแม้ลดลงจากต้นปีแต่ก็ยังสูงกว่าเป้าที่ร้อยละ 2
แต่ที่ท้าทายสุดคือ “ความไม่แน่นอน” ที่มีมากทั้งในสหรัฐและโลกขณะนี้ที่กระทบการตัดสินใจด้านนโยบาย ซึ่งสำคัญสุดคืออัตราภาษีนำเข้าที่สหรัฐจะคิดกับประเทศคู่ค้าที่ยังไม่ชัดเจนว่าจะออกมาอย่างไรเท่าไรและเมื่อไร แต่จะมีผลแน่ๆ ต่ออัตราเงินเฟ้อในสหรัฐทั้งปีนี้และปีหน้า ซึ่งเป็นเป้าของการดำเนินนโยบายการเงินของเฟด วันนี้เราจะวิเคราะห์วิธีคิดและการตัดสินใจของธนาคารกลางสหรัฐ ในการทำนโยบายการเงินในภาวะที่ “ความไม่แน่นอน” พูดได้ว่ามีมากสุด นี่คือประเด็นที่จะเขียน
เป้าหมายของธนาคารกลางในการดําเนินนโยบายการเงินคือ รักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจ หมายถึง อัตราเงินเฟ้อที่ต่ำและมีเสถียรภาพ ธนาคารกลางสหรัฐก็เช่นกัน แต่ขยายความเสถียรภาพให้รวมถึงการจ้างงานเต็มที่ เป็นสองเป้าหมายที่เฟดย้ำเสมอว่า เป็นหน้าที่ของธนาคารกลางในการสื่อสารสาธารณะ และในการแถลงข่าวผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินเมื่อสัปดาห์ที่แล้วก็เช่นกัน
ในรายละเอียด เฟดประเมินว่าเศรษฐกิจสหรัฐกำลังขยายตัวเข้มแข็ง อัตราการว่างงานต่ำ และอัตราเงินเฟ้อลดลงแม้ยังสูงกว่าเป้าที่ร้อยละ 2 เศรษฐกิจลักษณะนี้ทำให้สหรัฐมีความพร้อมที่จะรับมือกับเหตุการณ์หรือความไม่แน่นอนต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้น นี่คือประเด็นที่ประธานเฟดยํ้าในการแถลงข่าว
ในแง่การขยายตัว จีดีพีสหรัฐไตรมาสหนึ่งชะลอลง ขยายตัวติดลบร้อยละ 0.2 จากระยะเดียวกันปีก่อน แต่เป็นผลจากการเร่งตัวของสินค้านำเข้าก่อนการประกาศขึ้นอัตราภาษีเมื่อเดือน เม.ย. ส่วนการใช้จ่ายในประเทศยังขยายตัวแม้การบริโภคของครัวเรือนจะชะลอ
การสํารวจในระดับจุลภาคให้ข้อมูลว่าความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและภาคธุรกิจในสหรัฐลดลง เพราะเป็นห่วงเรื่องความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าและอัตราภาษี
ธนาคารกลางสหรัฐคาดว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะขยายตัวร้อยละ 1.4 ปีนี้และร้อยละ 1.6 ปีหน้า สําหรับตลาดแรงงาน เฟดมองว่าขณะนี้อยู่ในภาวะสมดุล อัตราการว่างงานอยู่ที่ร้อยละ 4.2 ซึ่งไม่สูง และอัตราค่าจ้างขยายตัวสูงกว่าเงินเฟ้อแสดงถึงความเข้มแข็งของเศรษฐกิจ
สำหรับเงินเฟ้อ แรงกดดันเป็นขาลง แต่ไม่มาก เงินเฟ้อเดือน พ.ค.อยู่ที่ร้อยละ 2.4 เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 2.3 เดือน เม.ย. แสดงให้เห็นว่าแรงกดดันเงินเฟ้อในสหรัฐยังไม่นิ่ง มีกลับไปกลับมา
สรุปคือ เศรษฐกิจสหรัฐเริ่มขยายตัวลดลง อัตราเงินเฟ้อและอัตราการว่างงานขยับสูงขึ้นแต่เล็กน้อย ยังไม่ได้เป็นภาพของเศรษฐกิจที่ชะลอชัดเจนและอัตราการว่างงานเร่งตัวขึ้น ขณะเดียวกันการชะลอตัวของเศรษฐกิจก็ยังไม่ได้มากับอัตราเงินเฟ้อที่ลดลง
ทำให้เฟดตัดสินใจที่จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ ตรงกับที่ตลาดการเงินคาด ไม่ได้ผลีผลามที่จะลดอัตราดอกเบี้ย เป็นการตัดสินใจที่ค่อนข้างนิ่ง ชัดเจน เข้าใจได้ ภายใต้ความไม่แน่นอนที่มีมาก
การตัดสินใจของเฟดดังกล่าวอาจดูพื้นๆ ไม่มีอะไรตื่นเต้น แต่ต้องตระหนักว่าเป็นการตัดสินใจในสถานการณ์ที่ยากเพราะความไม่แน่นอนในการทำนโยบายมีสูงมาก เหมือนอยู่ในห้องมืดแต่ก็ต้องตัดสินใจ
ที่จะวิเคราะห์ต่อคือ เราสามารถเรียนรู้อะไรได้บ้างจากการตัดสินใจของเฟดคราวนี้ เกี่ยวกับการตัดสินใจในภาวะที่ความไม่แน่นอนมีสูง รวมถึงเราอาจมีวิธีหรือหลักในการตัดสินใจอย่างไรได้บ้างเพื่อลดความผิดพลาด
ความไม่แน่นอนในเศรษฐกิจโลกขณะนี้มีมากทั้งเศรษฐกิจและการเมือง ประธานเฟดก็ยอมรับความไม่แน่นอนที่เพิ่มขึ้นว่ามีมากเกินปรกติ สําหรับผม ความวุ่นวายและความไม่แน่นอนที่มีมากก็เพราะเรากำลังอยู่ในโลกของตัว U สามตัว หรือ A World Of Triple U
U แรก Uncertainty คือความไม่แน่นอนในภูมิรัฐศาสตร์โลกที่เรากำลังมีสถานการณ์คล้ายสงครามในสี่พื้นที่ของโลกขณะนี้ คือ ยูเครน กาซ่า อินเดีย-ปากีสถาน อิหร่าน-อิสราเอล รวมถึงความขัดแย้งในซีเรียและซูดาน
สถานการณ์ทั้งหมดมีความไม่แน่นอนว่าจะไปต่ออย่างไร แต่จะส่งผลอย่างมากต่อเศรษฐกิจโลกแน่นอนถ้าสถานการณ์บานปลาย
U ที่สอง Unpredictabilty คือไม่สามารถคาดเดาได้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เช่น ภาษีทรัมป์ เพราะไม่ต้องมีเหตุผลและเปลี่ยนได้ทุกวัน ส่วน U ที่สาม Unknown คือเทคโนโลยี ที่เราไม่รู้เลยว่าจะมีอะไรมาอีกหรือเกิดขึ้นอีกที่จะพลิกเกมสิ่งต่างๆ ที่มีอยู่ในโลก ตัวอย่างเช่น Deepseek ที่เปลี่ยนเกม AI
นี่คือโลกเราขณะนี้ที่วุ่นวาย ความไม่แน่นอนมีมาก และอะไรจะเกิดขึ้นก็ได้ ทำให้การตัดสินใจเรื่องสําคัญๆ ในภาวะที่ความไม่แน่นอนมีมากเช่นนี้จึงท้าทาย ต้องมีหลักหรือวิธีในการตัดสินใจเพื่อช่วยลดหรือบรรเทาความผิดพลาด และที่ผมสังเกตจากการประชุมของเฟดสัปดาห์ที่ผ่านมาในเรื่องนี้คือ
1.เราไม่สามารถให้ความสําคัญกับทุกความไม่แน่นอนที่มีอยู่ทั้งหมดได้ และส่วนใหญ่หรือทั้งหมดก็อยู่เหนือการควบคุมของเรา ดังนั้น ควรเลือกและโฟกัสเฉพาะความไม่แน่นอนที่จะมีผลต่องานหรือเป้าหมายของเราจริงๆ
ซึ่งกรณีของเฟดคือ ความไม่แน่นอนเรื่องนโยบายการค้าและอัตราภาษีนำเข้าของทรัมป์ เป็นความไม่แน่นอนที่เฟดเลือกที่จะโฟกัสและติดตามในการทำนโยบาย
2.เมื่อเลือกแล้วก็ต้องศึกษาทำความเข้าใจและรู้จัก “ความไม่แน่นอน” นั้น เพื่อให้รู้ว่า ถ้าเกิดขึ้นจะมีผลต่อเป้าของเราอย่างไร เช่น กรณีภาษีทรัมป์ก็ต้องศึกษาว่าภาษีที่สูงขึ้นจะมีผลต่อกระบวนการตั้งราคาและต้นทุนของภาคธุรกิจอย่างไร
และถ้าต้นทุนการผลิตสูงขึ้นจะกระทบพฤติกรรมผู้บริโภคและอัตราเงินเฟ้อในประเทศอย่างไร วิเคราะห์ผลกระทบที่จะเกิดขึ้นต่อเงินเฟ้อเป็นฉากทัศน์ ภายใต้อัตราภาษีต่างๆ ทั้งผลระยะสั้นและระยะยาว
3.เมื่อเข้าใจแล้ว ก็รอให้ความไม่แน่นอนลดลงสู่ระดับที่เราจะตัดสินใจได้ คือจะลดดอกเบี้ยได้ ในเรื่องนี้ประธานเฟดชี้ว่าความไม่แน่นอนเรื่องภาษีทรัมป์ได้ผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว แต่ที่ตัดสินใจคงดอกเบี้ยไว้ก็เพราะต้องการรอและเรียนรู้มากขึ้นก่อนตัดสินใจ
หมายถึงรอให้ความไม่แน่นอนในนโยบายภาษีของทรัมป์มีความชัดเจนมากกว่านี้ ขณะเดียวกันก็ติดตามภาวะเศรษฐกิจว่าพร้อมหรือไม่ที่เฟดจะสามารถปรับลดอัตราดอกเบี้ยได้อย่างมีเหตุมีผล
นี่คือเล็กๆ น้อยๆ ที่ได้จากการตัดสินใจของธนาคารกลางสหรัฐสัปดาห์ที่แล้ว เลยนำมาแชร์กัน.