'การเมือง-เศรษฐกิจ' ฉุดดัชนี พ.ค. ดำดิ่ง 9.7 จุด เสนอ 3 โครงการ ผ่านงบ 1.57 แสนล้าน!

ผลสำรวจความเชื่อมั่น (Retail Sentiment Index) ของผู้ประกอบการค้าปลีก (ความร่วมมือระหว่าง สมาคมผู้ค้าปลีกไทย และ ธนาคารแห่งประเทศไทย ) ประจำเดือน พ.ค.2568 ดัชนี RSI เดือน พ.ค. 2568 ลดลง 9.7 จุด เมื่อเทียบกับเดือน เม.ย. 2568
โดยปรับลดลงในทุกองค์ประกอบ นับตั้งแต่ ยอดใช้จ่ายต่อใบเสร็จและความถี่ในการใช้บริการ รวมถึง ลดลงในทุกภูมิภาคและทุกประเภทของร้านค้า ยกเว้นร้านค้าประเภทห้างสรรพสินค้า แฟชั่น-ไลฟ์สไตล์
การลดลงของดัชนีความเชื่อมั่นเดือน พ.ค. มาจากปัจจัยการเมืองที่ส่อเค้าความรุนแรง ซึ่งดูเหมือนยังไม่มีจุดจบ นโยบายที่มาขับเคลื่อนเศรษฐกิจ อย่างโครงการดิจิทัลวอลเล็ต 157,000 ล้านบาท ก็ถูกยกเลิก ข่าวว่าจะนำงบประมาณ 157,000 ล้านบาท มาขับเคลื่อนโครงการต่างๆ ซึ่งก็คงยากต่อการสัมฤทธิผล เนื่องจากงบก้อนนี้ต้องใช้ให้จบก่อนสิ้นงบประมาณ 2568 ก็คือนับจากนี้ไปอีก 4 เดือน สิ้นสุดเดือน ก.ย.2568 แค่คิดโครงการก็ไม่ทันแล้ว
ขณะเดียวกัน ดัชนี RSI ระยะ 3 เดือนข้างหน้าก็ปรับลดลง 8.4 จุด สะท้อนถึงผู้ประกอบกังวลอย่างท้อใจ ต่อนโยบายการบริหารประเทศของรัฐบาลที่ยังไม่มีทิศทางชัดเจนท่ามกลางความปั่นป่วนการเมืองทั้งภายในและภายนอกประเทศ
ดัชนีความเชื่อมั่นโดยรวม 5 เดือนแรก อยู่ต่ำกว่าระดับค่าเฉลี่ยกลาง 50 และเมื่อเทียบช่วงเดียวกันของ 3 ปีก่อน ดัชนี 5 เดือนแรกถอยรูดลงอย่างชัดเจน! เป็นสัญญาณที่บ่งบอกแนวโน้มความอ่อนตัวของเศรษฐกิจในไตรมาสต่อๆ ไป คาดว่า ดัชนีความเชื่อมั่น RSI น่าจะไหลลงอย่างต่อเนื่องจนสิ้นสุดไตรมาส 3 หากไม่มีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่มีทิศทางที่ดีขึ้น
ภาพรวมเดือน เม.ย.2568 เป็นอย่างไร?
เมื่อเปรียบเทียบในรายละเอียดเดือน พ.ค.2568 ต่อเดือน เม.ย.2568 เราจะพบว่า
SSSG (MoM)…จาก 48.8 จุด ไปอยู่ที่ 37.5 จุด ลดลง 11.3 จุด
Spending Per Bill…จาก 47.0 จุด ไปอยู่ที่ 39.2 จุด ลดลง 7.8 จุด
Frequency of Shopping...จาก 47.8 จุด ไปอยู่ที่ 37.5 จุด ลดลง 10.3 จุด
สะท้อนถึง การใช้จ่ายโดยรวม ในเดือน พ.ค. ยอดขายลดลงมากกว่า 10-15% เทียบเดือน เม.ย.สะท้อนถึงกำลังซื้อที่อ่อนตัวลงเร็ว บรรยากาศการจับจ่ายใช้สอยเดือน พ.ค.เงียบอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าจะมีช่วง Back To School ก็ไม่ได้ช่วยให้การจับจ่ายเพิ่มขึ้น แต่กลับเห็นผู้บริโภคระมัดระวังการจับจ่ายเพิ่มขึ้น สะท้อนจากการลดลงของดัชนี Frequency Of Shopping ที่ลดลงถึง 10.3 จุด ส่วนดัชนี Spending Per Bill ก็ลดลงถึง 7.8 จุด
เมื่อพิจารณาความเชื่อมั่นรายภูมิภาค พบว่า “ลดลง” ทุกภูมิภาคและลงมาอยู่ต่ำกว่าเส้นระดับค่ากลางที่ 50 จุดทุกภูมิภาค
งบกระตุ้น 157,000 ล้าน กระตุ้นอย่างไรให้เกิดผล?
รัฐบาลมีงบประมาณ 157,000 ล้านบาท ที่เดิมตั้งใจจะใช้ในโครงการแจกเงินโดยตรงให้ประชาชนผ่านดิจิทัลวอลเล็ต แต่ต้องยกเลิกด้วยเหตุผลว่าระบบไม่พร้อม รัฐบาลจึงได้ตัดสินใจปรับเปลี่ยนแนวทางเพื่อให้สามารถเบิกจ่ายได้ครบถ้วนภายในกรอบเวลาที่กำหนดคือ สิ้นเดือน ก.ย.2568 ทั้งนี้ มาตรการที่นำเสนอจะต้องเบิกจ่ายได้ภายใน เดือน ก.ย.2568 และมุ่งเน้นการสนับสนุนร้านค้า และเศรษฐกิจฐานราก เพิ่มการจ้างงาน กระตุ้นการหมุนเวียนของเงินในระบบเศรษฐกิจ
1.โครงการ “Easy e-Receipt Phase 2”
โครงการนี้เป็นการขยายโครงการ “Easy e-Receipt Phase 1” เดือน ม.ค.-ก.พ. ที่ประสบความสำเร็จ โดยมุ่งเน้นกระตุ้นการใช้จ่ายในร้านค้า ผู้เสียภาษีสามารถนำค่าใช้จ่ายมาหักลดหย่อนภาษีได้ 2 เท่า (200%) สำหรับการซื้อสินค้าและบริการจากร้านค้าที่ลงทะเบียนในระบบ โดยจำกัดวงเงินสูงสุด 100,000 บาทต่อคน มีระยะเวลาโครงการ 4 เดือน (ส.ค.-ธ.ค.) โครงการนี้จะช่วยกระตุ้นการใช้จ่ายในเมืองได้ถึง 100,000 ล้านบาท เพิ่มรายได้ให้ร้านค้า และส่งเสริมให้ร้านค้า เข้าสู่ระบบภาษีและระบบดิจิทัล นอกจากนี้ ยังช่วยสร้างการหมุนเวียนของเงินในระบบเศรษฐกิจ ซึ่งจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจในภาพรวม
2.โครงการแจกเงินเมื่อผ่านพัฒนาทักษะแรงงาน : Up-skill Re-skill
เรามีแรงงานในภาคนอกเกษตรและอยู่ในระบบประกันสังคมราว 12 ล้านคน การลงทุนในทุนมนุษย์ช่วยเพิ่มผลิตภาพแรงงานและขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศในระยะยาว แนวทางกำหนดให้ภาครัฐจัดสรรงบประมาณไปยัง สถาบันการศึกษา สถาบันฝึกอบรมต่างๆ โดยให้มาลงทะเบียนผ่านแอป “ทางรัฐ” บุคลากร ผู้ใช้แรงงาน ลงทะเบียนเรียน พัฒนาทักษะ กับสถาบันการศึกษา สถาบันฝึกอบรมต่างๆ ที่ได้มาตรฐานตามที่ลงทะเบียนไว้ใน แอป “ทางรัฐ” และหลักสูตร Up-skill Re-skill ที่ได้หารือกับผู้ประกอบการ โดยไม่มีค่าใช้จ่าย เมื่อผ่านการอบรมเรียนรู้ หลักสูตร Up-skill Re-skill ตามที่ผู้ประกอบการกำหนด ให้นำใบรับรองการอบรมหลักสูตรมาเสนอให้ผู้ประกอบการเห็นชอบ โครงการนี้ คาดว่าจะมีเงินหมุนเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจไม่น้อยกว่า 60,000-80,000 ล้านบาทภายในสิ้นปี
เมื่อผ่านการ Up-skill Re-skill แล้ว ผู้ประกอบการจะมอบเงินเพื่อเป็นแรงจูงใจในการพัฒนาทักษะ เดือนละ 1,000 บาท เป็นเวลา 3 เดือน ทั้งนี้ จำนวนเงินที่ผู้ประกอบการมอบให้แรงงานผู้ผ่านการพัฒนาทักษะ สามารถนำไปลดหย่อนภาษีประจำปี 2568 ได้ 3 เท่า (300%)
3.โครงการจ้างงาน รัฐครึ่งเอกชนครึ่ง
โครงการนี้สนับสนุนการจ้างงานใหม่ในเมืองใหญ่ โดยรัฐร่วมจ่ายเงินเดือน 50% เป็นระยะเวลา 6 เดือน โดยจำกัดเงินเดือนที่รัฐร่วมจ่ายไม่เกิน 7,500 บาทต่อคนต่อเดือน เน้นการจ้างงานในกลุ่มแรงงานที่ตกงาน บัณฑิตจบใหม่ และผู้ด้อยโอกาส โครงการนี้มีเป้าหมายในการสร้างการจ้างงานใหม่อย่างน้อย 200,000 ตำแหน่ง ซึ่งจะช่วยลดอัตราการว่างงานและเพิ่มกำลังซื้อในระบบเศรษฐกิจไม่น้อยกว่า 3,000-5,000 ล้านบาทภายในสิ้นปีเช่นกัน นอกจากนี้ ยังช่วยให้แรงงานได้รับการพัฒนาทักษะผ่านการทำงานจริง ซึ่งจะเป็นประโยชน์ในระยะยาว