สมาคมผู้ค้าปลีกไทย หวั่นสงครามการค้า สินค้าจีน ปัญหานอมินีลุกลาม

สมาคมผู้ค้าปลีกไทย หวั่นค้าปลีกไทยโตชะลอตัว อยู่ที่ 3.4% ปัจจัยกระทบสงครามการค้า - สินค้าจีน รวมถึงนอมินีทางธุรกิจที่ลุกลาม รายย่อย รายใหญ่ กระทบหนักเศรษฐกิจ
นายณัฐ วงศ์พานิช ประธานสมาคมผู้ค้าปลีกไทย กล่าวว่า จากการติดตามสถานการณ์ค้าปลีกไทยในปี 2568 มีความท้าทายมากขึ้น มาจากดัชนีความเชื่อมั่นของภาคค้าปลีกลดลง การบริโภคชะลอตัว การท่องเที่ยวขยายตัวลดลง และการส่งออกที่เผชิญกำแพงภาษี มีผลต่ออุตสาหกรรมค้าปลีกที่มีมูลค่าประมาณ 4 ล้านล้านบาท คาดว่าจะขยายตัวชะลอตัวอยู่ที่ 3.4% ในปี 2568 แตกต่างจากปี 2567 ที่ผ่านมา มีการขยาย 5.9% เป็นการประเมินจากศูนย์วิจัยกสิกรไทย
ขณะเดียวกันปัจจัยที่ต้องติดตามกับสงครามการค้าระหว่างสหรัฐ และจีน มีผลกระทบต่อการส่งออกของไทย และอีกด้านทำให้สินค้าจีนเกิดปัญหาโอเวอร์ซัพพลาย มีโอกาสเข้ามาในไทย และภูมิภาคอาเซียนจำนวนมาก กระทบต่อผู้ประกอบการไทย และเอสเอ็มอี ที่มีอยู่กว่า 3.3 ล้านราย รวมถึงทำให้ผู้ประกอบการไทยต้องปิดกิจการหรือมีการเลิกจ้างแรงงานได้
ทั้งนี้ประเมินเบื้องต้นสินค้าเข้ามาในประเทศจำนวนมากคือ สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ สินค้าแอกเซสซอรี และสินค้าเครื่องหนัง รวมถึงต้องกังวลสินค้าด้อยคุณภาพที่เข้ามาทำในประเทศ
หวังรัฐเร่งตรวจสอบนอมินีธุรกิจ
สำหรับจากปัญหาสินค้าจากต่างประเทศที่เข้ามาไทย ภาครัฐควรดำเนินการทั้ง การตรวจสอบสินค้านำเข้า 100% แทนการสุ่มตรวจ ด้วยระบบเทคโนโลยีที่มีความแม่นยำ ทั้งการมีมาตรฐาน มอก. และฉลากต้องเป็น ภาษาไทย
ขณะเดียวกันควรเร่งปราบปรามธุรกิจนอมินี (Nominee) ที่สวมสิทธิคนไทยทุกระดับ ตั้งแต่รายย่อยถึง รายใหญ่ ครอบคลุมธุรกิจหลากหลาย เช่น ร้านอาหาร ซูเปอร์มาร์เก็ต และโรงแรมศูนย์เหรียญ เพื่อป้องกันการไหลออกของเม็ดเงิน ร่วมทำให้รายได้จากภาคค้าปลีกหมุนเวียนกลับสู่ระบบเศรษฐกิจ และผู้ประกอบการไทย อีกทั้งต้อง ป้องกันการสวมสิทธิผลิตสินค้าที่ใช้ไทยเป็นฐานการผลิตส่งออกไปสหรัฐ (Re-Export) ส่งผลให้ไทยเกินดุลสหรัฐ
นอกจากนี้ควรจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม VAT 7% กับสินค้าออนไลน์นำเข้าที่มีมูลค่าตั้งแต่บาทแรก จากเดิมสินค้าไม่เกิน 1,500 บาท ได้รับการยกเว้นภาษี ซึ่งควรออกเป็นกฎหมายบังคับใช้เป็นการถาวร การมุ่งปรับปรุงกฎหมายที่มีข้อจำกัด และไม่ครอบคลุมของ พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ หรือการซื้อขายสินค้าออนไลน์ โดยเฉพาะสินค้าไม่ได้มาตรฐานราคาถูกที่จำหน่ายผ่านแพลตฟอร์มต่างๆ และมีมาตรการรับมือสินค้าจากจีนที่เข้ามาในไทย
การออกมาตรการภาษี ดันไทยสู่ ชอปปิง พาราไดซ์
อีกทั้งควรมีมาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวของไทย ร่วมดึงดูดนักท่องเที่ยวระยะไกลเข้ามาในประเทศ ทั้งจากยุโรป และตะวันออกกลาง พร้อมมีมาตรการทางภาษีดึงดูดนักท่องเที่ยว ทั้งการทำชอปปิงยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (Instant Tax Refund) โดยการทำมาตรการ Instant Tax Refund คืนภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% ให้กับนักท่องเที่ยวที่มียอดซื้อสินค้าขั้นต่ำ 3,000 บาทขึ้นไป ต่อ 1 วันในร้านค้าเดียวกัน เพื่อกระตุ้นการใช้จ่าย และดึงดูดนักท่องเที่ยวให้เพิ่มมากขึ้น
พร้อมกันนี้ควรทำเขตปลอดภาษีสำหรับสินค้าไลฟ์สไตล์ (Shopping Paradise Sandbox) โดยการลดภาษีนำเข้าสินค้าไลฟ์สไตล์ ทั้งแฟชั่น เครื่องสำอาง เครื่องหนัง น้ำหอม ซึ่งนำร่องทำแซนด์บ็อกซ์เป็นเขตปลอดภาษี (Free Trade Zone) ในจังหวัดท่องเที่ยว เช่น ภูเก็ต
ขณะเดียวกันควรลดภาษีนำเข้าสินค้าไลฟ์สไตล์จากสหรัฐ เพื่อร่วมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศสหรัฐ และไทย นำร่องที่พื้นที่ภูเก็ต ก่อน เพื่อร่วมกระตุ้นการใช้จ่ายในประเทศไทย โดยเฉพาะจากกลุ่มนักท่องเที่ยว
ทั้งหมดจะร่วมทำให้ประเทศไทยก้าวสู่เมืองสวรรค์ของการชอปปิงในภูมิภาค หรือ ชอปปิง พาราไดซ์ ได้สำเร็จ
ผู้ประกอบการควรรับมือค้าปลีกที่เปลี่ยนแปลงไป
ทั้งนี้ผู้ประกอบการค้าปลีกควรเร่งดำเนินการปรับตัวรับมือกับเทรนด์ค้าปลีกที่เปลี่ยนแปลงไปทั้ง Convergence Commerce as the New Standard มุ่งสร้างประสบการณ์ที่เชื่อมโยงอย่างไร้รอยต่อระหว่างช่องทาง Offline และ Online รวมถึงร่วมมือร้านค้ารายใหญ่ และรายย่อยให้เป็นระบบนิเวศ (Ecosystem) เดียวกัน
การใช้ AI Personalization Engine มุ่งนำเสนอสินค้า โปรโมชัน และประสบการณ์ที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าแต่ละรายอย่างเฉพาะบุคคล (Personalization) ด้วยการใช้ AI วิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) เพื่อบริหารจัดการสต๊อกสินค้าอย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยเพิ่มยอดขาย ลดปริมาณสินค้าคงคลัง และ Sustainable Retail ผู้บริโภคยุคใหม่ให้ความสนใจแบรนด์ที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม และมุ่งใช้บรรจุภัณฑ์ยั่งยืน
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์