‘ไมเนอร์ โฮเทลส์’ จัดทัพแบรนด์ครั้งใหญ่รอบเกือบ 50 ปี เร่งขยายพอร์ตสู่ 11 แบรนด์โรงแรมในปี 68

ปัจจุบัน ไมเนอร์ โฮเทลส์ ได้เติบโตเป็นหนึ่งในผู้นำระดับโลกด้านธุรกิจโรงแรม ด้วยโรงแรมในเครือมากกว่า 560 แห่งใน 58 ประเทศ การเติบโตของบริษัทขับเคลื่อนผ่านการขยายแบรนด์ระดับลักชัวรีอย่าง อนันตรา (Anantara) และแบรนด์ไลฟ์สไตล์ระดับพรีเมียมอย่าง อวานี (Avani) รวมถึงการเข้าซื้อกิจการโรงแรม เอเลวาน่า คอลเลคชั่น (Elewana Collection) โอ๊คส์ (Oaks) ทิโวลี (Tivoli) และ เอ็นเอช โฮเทล กรุ๊ป (NH Hotel Group) ซึ่งประกอบด้วย เอ็นเอช (NH) เอ็นเอช คอลเลคชั่น (NH Collection) และ นาว (nhow) รวมทั้งหมด 8 แบรนด์โรงแรม

ดิลิป ราชากาเรีย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ไมเนอร์ โฮเทลส์ และประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล กล่าวว่า “การรีแบรนด์ครั้งนี้ถือเป็นอีกก้าวสำคัญของ ไมเนอร์ โฮเทลส์ ซึ่งเป็นการพัฒนาต่อยอดบนเส้นทางแห่งความสำเร็จของเราในช่วงเกือบ 50 ปีที่ผ่านมา”

ไม่เพียงแค่สร้างการเติบโตทางด้านรายได้และผลกำไร แต่ยังเป็นการใช้ประโยชน์จากจุดแข็งของไมเนอร์ โฮเทลส์ ในด้านความหลากหลาย ความเชี่ยวชาญ และศักยภาพของทีมงาน เพื่อขับเคลื่อนการเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว และลงทุนเพื่อยกระดับประสบการณ์ของแขกผู้เข้าพัก การรวมทุกแบรนด์โรงแรมและประสบการณ์การท่องเที่ยวทั้งหมดไว้ภายใต้ชื่อ “ไมเนอร์ โฮเทลส์” จะช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับตำแหน่งของบริษัทในอุตสาหกรรมการบริการและสนับสนุนเป้าหมายการเติบโต

ดิลิป ราชากาเรีย

เอียน ดิ ทูลลิโอ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายพาณิชย์ ไมเนอร์ โฮเทลส์ กล่าวว่า การรีแบรนด์ครั้งนี้ไม่เพียงแค่สร้างอัตลักษณ์ใหม่ให้กับ ไมเนอร์ โฮเทลส์ แต่ยังสะท้อนถึงความมุ่งมั่นของบริษัทในการที่จะมอบประสบการณ์การบริการที่เหนือระดับในทุกมิติให้กับแขกผู้ใช้บริการ ผ่านการพัฒนาแพลตฟอร์มดิจิทัลรูปแบบใหม่ โปรแกรมสมาชิกที่ใช้งานง่าย และกลยุทธ์ช่องทางการขายที่แข็งแรงยิ่งขึ้น เพื่อเป็นพันธมิตรที่ได้รับความไว้วางใจของเจ้าของโรงแรมและนักลงทุน

“การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญของกลุ่มไมเนอร์ โฮเทลส์ ปูทางสู่การขยายพอร์ตโฟลิโอโรงแรมเพิ่มขึ้นอีกเกือบ 300 แห่งภายในปี 2570 อีกทั้งยังเป็นการต่อยอดจากการเข้าซื้อกิจการ เอ็นเอช โฮเทล กรุ๊ป เมื่อปี 2561 ซึ่งปัจจุบันดำเนินงานภายใต้ชื่อ Minor Hotels Europe & Americas ที่เป็นส่วนช่วยขยายขอบเขตธุรกิจของกลุ่มให้เติบโตขึ้นถึง 3 เท่าบนเวทีโลก”

สำหรับสิ่งแรกที่ผู้ใช้บริการจะได้เห็นคือ “ภาพลักษณ์ใหม่ที่สดใส” ของ ไมเนอร์ โฮเทลส์ หัวลูกศรภายในตัวอักษร “M” ในโลโก้ใหม่เป็นสัญลักษณ์ของทิศทางและการนำทาง ชี้ไปสู่การค้นพบ การเชื่อมต่อ และการผจญภัย พร้อมทั้งสะท้อนบทบาทของ ไมเนอร์ โฮเทลส์ ในการสร้างสรรค์เส้นทางแห่งประสบการณ์ที่มีความหมายสำหรับแขกผู้เข้าพัก อัตลักษณ์ใหม่ของแบรนด์ยังเสริมด้วยสีสัน ฟอนต์ที่เป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์ และสไตล์ภาพถ่ายที่สะดุดตา ได้รับแรงบันดาลใจจากแก่นแท้ของแบรนด์ภายใต้แนวคิด “What Matters Most” หรือ “สิ่งที่สำคัญที่สุด” ซึ่งเป็นใจความหลักที่ช่วยถ่ายทอดเรื่องราวของ ไมเนอร์ โฮเทลส์ ให้สอดคล้องกับความต้องการและความปรารถนาของลูกค้า พันธมิตรทางธุรกิจ และทีมงานทุกคน

ทั้งนี้ ไมเนอร์ โฮเทลส์ ยังได้ปรับโฉมหน้าเว็บไซต์ minorhotels.com โดยเปลี่ยนจากเดิมที่เน้นข้อมูลองค์กรและการพัฒนา มาเป็นแพลตฟอร์มที่ตอบโจทย์การใช้งานของผู้บริโภคโดยเฉพาะ นับเป็นครั้งแรกที่แขกสามารถจองที่พักจากโรงแรมในเครือกว่า 560 แห่ง รวมถึงค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับจุดหมายปลายทางต่างๆ ได้ครบจบภายในเว็บไซต์เดียว

ขณะเดียวกัน ได้เปิดตัวแอปพลิเคชันมือถือใหม่ ให้เป็นแพลตฟอร์มเดียวที่รวมทุกแบรนด์ในเครือไว้ด้วยกัน แทนแอปพลิเคชันแยกตามแบรนด์โรงแรม โดยนักเดินทางสามารถใช้แอป Minor Hotels เพื่อทำการจอง จัดการการจอง ค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับจุดหมายปลายทางต่างๆ รวมถึงติดต่อทีมโรงแรมและขอรับบริการต่างๆ ระหว่างการเข้าพักผ่านแอปพลิเคชันเดียวได้อีกด้วย ทั้งหมดนี้เพื่อเป้าหมายเพิ่มยอดการจองห้องพักโรงแรมโดยตรง

เอียน เล่าเพิ่มเติมว่า บริษัทยังได้ “ปรับโครงสร้างแบรนด์” จัดกลุ่มโรงแรมออกเป็น “3 ระดับ” ได้แก่ ลักชัวรี (Luxury) พรีเมียม (Premium) และเซเลกต์ (Select) เพื่อช่วยให้แขกสามารถเลือกโรงแรมที่เหมาะกับความต้องการของตนเองได้อย่างตรงจุด

ทางกลุ่มยังมีแผนขยายพอร์ตโฟลิโอแบรนด์โรงแรมเพิ่มเติม โดยมีแผน “เปิดตัวแบรนด์โรงแรมใหม่” จำนวน 2-3 แบรนด์ภายในปี 2568 มีทั้งระดับลักชัวรีและพรีเมียม ซึ่งจะเป็นแบรนด์โรงแรมแบบ “ซอฟต์แบรนด์” (Soft Brand) หรือแบรนด์ที่มีการจัดการในรูปแบบยืดหยุ่นและสามารถปรับแต่งให้เหมาะสมกับตลาดโดยยังรักษาอัตลักษณ์ของตัวเอง พื้นที่เป้าหมายของการขยายคือเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และตะวันออกกลาง หลังบริษัทเล็งเห็นโอกาสในการขยายธุรกิจ เพราะเจ้าของโรงแรมอิสระ (Independent Hotel) มองหาแบรนด์โรงแรมมาช่วยบริหารมากขึ้น แทนที่จะบริหารจัดการเอง ซึ่งจะมีต้นทุนบริหารที่แพงกว่า

“การเปิดตัวแบรนด์โรงแรมใหม่อีก 2-3 แบรนด์ จะทำให้เรามีแบรนด์โรงแรมในเครือทั้งหมด 10-11 แบรนด์ในปีนี้ และมีผลต่อการเติบโตต่อของเครือไมเนอร์ โฮเทลส์ อย่างมีนัยยะสำคัญ”