ดัชนีเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือน ธ.ค. ปรับขึ้นต่อเนื่อง 3 เดือนติด

ม.หอการค้าไทย เผย ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนธ.ค. 67 อยู่ที่ 57.9 ปรับขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 ผลจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ท่องเที่ยว ชี้ เศรษฐกิจไทยไตรมาสแรกเติบโตได้แบบค่อยเป็นค่อยไป
นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ เปิดเผยว่า จากการสำรวจตัวอย่างประชาชนทั่วประเทศจำนวน 2,244 คน พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนธ.ค. 67 อยู่ที่ 57.9 เพิ่มจาก 56.9 ใน เดือนพ.ย. โดยปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 เนื่องจากผู้บริโภคเริ่มเห็นว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล ช่วยผ่อนคลายให้สถานการณ์เศรษฐกิจไทยเริ่มปรับตัวดีขึ้น และการท่องเที่ยวในประเทศเริ่มปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง ส่วนดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับเศรษฐกิจไทยโดยรวม อยู่ที่ 51.4 ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับโอกาสในการหางาน อยู่ที่ 55.3 และดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับรายได้ในอนาคต อยู่ที่ 67.0 ซึ่งดัชนีทุกตัวปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 เช่นเดียวกัน
อย่างไรก็ตามตามดัชนีความเชื่อมั่นฯ ยังอยู่ในระดับต่ำกว่า 100 ซึ่งเป็นระดับปกติ เนื่องจากผู้บริโภคยังมีความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์การเมืองในประเทศ และค่าครองชีพที่ยังทรงตัวอยู่ในระดับสูง ตลอดจนปัญหาเศรษฐกิจโลกที่มีความเสี่ยงเข้าสู่ภาวะชะลอตัวลง จากสงครามการค้าที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งจะส่งผลกระทบให้เศรษฐกิจไทย และการจ้างงานมีโอกาสฟื้นตัวได้ช้าในอนาคต ซึ่งจะทำให้รายได้ในอนาคตของผู้บริโภคมีความไม่แน่นอนสูง
" ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเริ่มปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องกันในช่วง 3 เดือน ซึ่งจะเห็นได้จากพฤติกรรมการจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภคในเทศกาลต่าง ๆ ที่ผ่านมา โดยเห็นได้จากการใช้จ่ายช่วงลอยกระทง เทศกาลปีใหม่ วันเด็ก และกำลังรอดูช่วงเทศกาลตรุษจีน ว่าจะดีต่อเนื่องหรือไม่" นายธนวรรธน์ กล่าว
นายธนวรรธน์ กล่าวว่า ขณะนี้เริ่มเห็นความแตกต่างของพฤติกรรมการใช้จ่ายของผู้บริโภค เมื่อเทียบกับช่วงก่อนหน้านี้ ซึ่งจะพบว่าผู้มีรายได้ปานกลาง ขึ้นไป กลับไม่กล้าจับจ่ายใช้สอย โดยจะเห็นได้จากยอดซื้อสินค้าคงทนโตชะลอลง เช่น บ้าน, รถยนต์ ในขณะที่ผู้ที่มีรายได้น้อย จะกล้าจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น ซึ่งอาจเป็นผลจากการได้รับเงินโอน 10,000 บาท จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล โดยขณะนี้ จะเห็นว่า เศรษฐกิจไทย เป็นแบบ K-shape กลับหัว คือ คนที่มีรายได้ปานกลางถึงรายได้น้อย กล้าใช้จ่ายมากขึ้น อาจเป็นเพราะค่าแรงขั้นต่ำเพิ่มขึ้น เงินถูกหมุนลงไปในโครงการ 10,000 บาท การท่องเที่ยวเริ่มกระจายความเจริญไปสู่ท้องถิ่นต่าง ๆ แต่คนที่ไม่กล้าใช้จ่าย กลับกลายเป็นกลุ่มคนรายได้ปานกลางขึ้นไป ดูจากการใช้จ่ายสินค้าคงทน เช่น บ้าน รถ ยังมีแนวโน้มติดลบ
โดยภาวะเศรษฐกิจแบบเคหัวกลับ สะท้อนจากดัชนีความเชื่อมั่นหอการค้าไทย เดือนธันวาคม 2567 ที่ติดลบต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 8 นับจากเดือนกันยายน เนื่องจาก ผู้ประกอบการยังรู้สึก ต้นทุนการผลิตแพง ไม่ว่าจะจากปัญหาน้ำแล้ง น้ำท่วม กำลังซื้อยังไม่น้อยจากหนี้ครัวเรือนที่สูง และอีกประเด็น คือความนิ่งของการเมือง และปัจตัยภายนอก คือเรื่องสงคราม ที่มีผลต่อเรื่องราคาน้ำมันโลกที่จะสูงขึ้น
ทั้งนี้ ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ ม.หอการค้าไทย ยังเชื่อว่า เศรษฐกิจไทยไตรมาส 1 จะยังเติบโตได้แบบค่อยเป็นค่อยไป เนื่องจากผลของความไม่แน่นอนจากสงครามการค้า ภายใต้นโยบายประธานาธิบดีใหม่ของสหรัฐฯ, ผลกระทบจากกรณีรัสเซียถูกแซงชั่นจากสหรัฐ ซึ่งจะมีผลต่อต้นทุนราคาพลังงานโลกให้สูงขึ้น และมีแรงกดดันด้านเงินเฟ้อ ตลอดจนผลกระทบต่อความเชื่อมั่นในการเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวไทยของนักท่องเที่ยวจีน ภายหลังเกิดเหตุดาราจีนถูกลักพาตัว ซึ่งต้องติดตามสถานการณ์ในช่วงเทศกาลตรุษจีนที่จะถึงนี้ว่า นักท่องเที่ยวจีนจะเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในไทยมากน้อยแค่ไหน ถ้าการท่องเที่ยวไทยมีอุปสรรค อาจทำให้แรงเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในไตรมาสแรกจะแผ่วไปได้
อย่างไรก็ดี คาดหวังว่ามาตรการ Easy E-receipt ซึ่งจะเริ่มตั้งแต่กลางเดือนม.ค.-สิ้นเดือนก.พ.นี้ รวมทั้งเงิน 10,000 บาท ให้กับผู้สูงอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป รวมทั้งมาตรการ "คุณสู้ เราช่วย" จะเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจไทยไตรมาส 1และ ทางหอการค้าไทย อยากเห็นมาตรการคูณสอง เข้ามาช่วยด้วย เพื่อเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจไตรมาส 1 ดังนั้นไตรมาสที่ 1 และไตรมาสที่ 2 เป็นตัวชี้เศรษฐกิจปีนี้ว่าจะเป็นอย่างไร ซึ่งเราคาดว่าปีนี้เศรษฐกิจไทยจะโตได้ราว 3% บวก ลบเล็กน้อย ขณะนี้ผู้บริโภคมีความเชื่อมั่นดีขึ้น หมายถึงเศรษฐกิจจะถูกเคลื่อนโดยการจับจ่ายใช้สอยที่จะดีขึ้นในไตรมาส 1 ถ้ามีมาตรการเสริม แต่สิ่งที่จะเห็นว่าเศรษฐกิจฟื้นหรือไม่ ต้องดูจากสัญญาณของภาคธุรกิจด้วย นั่นคือ ดัชนีความเชื่อมั่นหอการค้าไทย ซึ่งยังไม่ได้แสดงให้เห็นว่าดีขึ้น แต่แค่เริ่มติดลบน้อยลง โดยมองว่าแม้ปัจจุบันยังแย่ แต่อนาคตยังมีความหวังว่าจะบวกขึ้น
“สัญญาณเศรษฐกิจไทยในภาพรวมจะฟื้นหรือไม่ ความเชื่อมั่นผู้บริโภคจะดีขึ้นหรือไม่ สามารถชี้วัดได้ในไตรมาส 1 ซึ่งจะเป็นตัวกำหนดเศรษฐกิจของทั้งปี โดยม.หอการค้ายังประมาณการการขยายตัวของเศรษฐกิจ ปี 2568 ที่ 3% อย่างไรก็ตาม จุดเปราะบางของเศรษฐกิจครึ่งปีหลัง จะมีความเสี่ยงรุนแรง หรือจะเติบโตน้อยลงหรือไม่ สามารถเช็คได้จากไตรมาสที่ 2 จากปัจจัยสำคัญ 2 ตัว คือ สงครามการค้ารุนแรงหรือไม่ และการเมืองไทยจะมีปัญหาหรือไม่”นายธนวรรธน์ กล่าว