10 แนวโน้มธุรกิจสำหรับปี 68

ในโอกาสส่งท้ายปีเก่า เข้าสู่ปีใหม่ ผู้เขียนขอนำเสนอการคาดการณ์ 10 แนวโน้มธุรกิจสำหรับปี 2568 ดังนี้
1.ภาพรวมเศรษฐกิจโลกปี 2568 จะเป็นปีแห่งการเปลี่ยนผ่านโดย Transitional force (เศรษฐกิจชะลอตัว เงินเฟ้อและดอกเบี้ยลดลง) จะยังเหนือกว่า Trump force (ความกังวลเงินเฟ้อ การขาดดุลงบประมาณ และดอกเบี้ยสูงจากนโยบายสหรัฐ) ส่งผลให้เงินเฟ้อสหรัฐลดลงเหลือ 2.5% ขณะที่ธนาคารกลางทั่วโลกมีแนวโน้มลดดอกเบี้ย โดยธนาคารกลางสหรัฐ ยุโรป และไทย คาดลด 2 ครั้ง 4 ครั้ง และ 3 ครั้ง ตามลำดับ
2.AI และเทคโนโลยียังคงเป็นผู้นำการเติบโตในปี 2568 โดยการลงทุนด้านไอทีทั่วโลกคาดว่าจะเพิ่มขึ้น 8% เป็น 3.6 ล้านล้านดอลลาร์ สำนักวิจัย EY รายงานว่า 30% ของธุรกิจในสหรัฐจะลงทุนใน AI มากกว่า 10 ล้านดอลลาร์ เพิ่มจาก 16% ในปี 2567 แม้ Gartner เตือนว่า 30% ของโครงการ AI อาจล้มเหลว ขณะที่การกำกับดูแลจะเข้มงวดขึ้น ด้านฮาร์ดแวร์ การแข่งขันในอุตสาหกรรมชิปจะรุนแรงขึ้น โดย Nvidia จะรักษาความเป็นผู้นำชิป AI จากคู่แข่งอย่าง Arm และ Google ขณะที่ประเทศต่างๆ แข่งขันดึงดูดการผลิตชิป โดย TSMC จะเปิดโรงงานแรกในสหรัฐ และ Micron จะเริ่มผลิตในอินเดีย
3.ภาคสาธารณสุขในปี 2568 จะเผชิญความท้าทายจากสังคมสูงวัย (65 ปีขึ้นไป) ที่จะเพิ่มเป็น 12% ของประชากรโลก แม้ความต้องการด้านสาธารณสุขจะเพิ่มขึ้น แต่การใช้จ่ายทั่วโลกกลับลดลงเหลือ 10% ของ GDP จาก 11% ในช่วงโควิด-19 EIU คาดการใช้จ่ายทั่วโลกจะแตะ 11 ล้านล้านดอลลาร์ โดยครึ่งหนึ่งมาจากสหรัฐ ด้านนวัตกรรม องค์การอนามัยโลก (WHO) จะเน้นรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ขณะที่อุตสาหกรรมยาจะมีความก้าวหน้าสำคัญทั้งยาลดความอ้วนราคาถูก วัคซีน mpox วัคซีนไข้หวัดนก วัคซีนโควิด และวัคซีน mRNA สำหรับมะเร็ง โดยคาดว่ายอดขายยาทั่วโลกจะแตะ 1.7 ล้านล้านดอลลาร์
4.ภาคพลังงาน การบริโภคพลังงานโลกปี 2568 จะเพิ่มขึ้น 2% แตะระดับสูงสุดที่ 14.5 ล้านล้านตันเทียบเท่าน้ำมัน โดยเชื้อเพลิงฟอสซิลยังครองสัดส่วน 80% ส่งผลให้การปล่อยคาร์บอนเพิ่มขึ้น 1.7 เท่าจากปี 2533 ถ่านหินยังคงเป็นเชื้อเพลิงหลักในเอเชีย โดยเฉพาะอินเดียและรัสเซีย ด้านน้ำมัน OPEC+ จะควบคุมการผลิตเพื่อรักษาราคา Brent ที่ 75-77 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
ขณะที่พลังงานหมุนเวียนจะมีสัดส่วน 14% ของอุปทานโลก โดยพลังงานลมและแสงอาทิตย์จะผลิตไฟฟ้าได้ 1 ใน 6 หลายประเทศขยายการลงทุนพลังงานสะอาด อาทิ ฟาร์มแสงอาทิตย์ในอินเดีย มินิกริดในแซมเบีย และโรงไฟฟ้าความร้อนใต้พิภพในเท็กซัส ส่วนไทยตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนพลังงานทดแทนเป็น 20% ขณะที่พลังงานนิวเคลียร์กลับมาแข็งแกร่งโดยเฉพาะในเอเชีย และจีนจะบรรลุเป้าผลิตไฮโดรเจนสีเขียว 200,000 ตัน
5.ภาคยานยนต์โลกปี 2568 จะเติบโต 2% โดยยอดขาย EV จะพุ่งขึ้นเกือบ 25% แม้จะยังมีความกังวลเรื่องระยะทางขับขี่และราคาสูง นอร์เวย์จะเป็นประเทศแรกที่ตั้งเป้าให้รถยนต์ใหม่ทั้งหมดปลอดมลพิษภายในปี 2568 ขณะที่เมืองต่างๆ จะกำหนดเขตปลอดมลพิษมากขึ้น ด้านจีนจะครองส่วนแบ่งตลาด EV ครึ่งหนึ่งของโลก โดย BYD ตั้งเป้าขายรถ 1 ล้านคันนอกจีนผ่านโรงงานใหม่ในบราซิลและฮังการี ขณะที่ VinFast มุ่งเป้าอินเดียและอินโดนีเซีย Volkswagen และ Tesla จะพัฒนารถราคาถูกลง แต่การเพิ่มกำแพงภาษีสำหรับ EV จากจีนและกฎระเบียบที่เข้มงวดขึ้นจะท้าทายการขยายตัวของรถยนต์ EV
6.ภาคการท่องเที่ยวและการบิน การท่องเที่ยวโลกปี 2568 คาดว่าจะทะลุ 1.6 พันล้านคน โดยนักท่องเที่ยวจีนที่เดินทางต่างประเทศจะกลับมาสูงกว่าระดับก่อนโควิด-19 คิดเป็น 10% ของทั้งหมด ไทยและอินโดนีเซียจะได้ประโยชน์จากการผ่อนคลายวีซ่า ขณะที่ส่วนแบ่งการใช้จ่ายด้านการท่องเที่ยวของเอเชียจะแตะ 37% เท่ากับยุโรป ด้านยุโรปจะดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติมากกว่าครึ่ง แม้จะมีการประท้วงต่อต้านการท่องเที่ยวที่มากเกินไป ส่วนนักท่องเที่ยวอินเดียจะเพิ่มขึ้น 17% เป็น 29 ล้านคน โดย 70% จะท่องเที่ยวในเอเชีย และมีการใช้จ่ายเฉลี่ย 1,400 ดอลลาร์ต่อคน สูงกว่าค่าเฉลี่ยโลกที่ 1,033 ดอลลาร์
7.ภาคอสังหาริมทรัพย์โลกปี 2568 จะได้แรงหนุนจากดอกเบี้ยที่ลดลง แม้ย่านธุรกิจยังไม่คึกคักเท่าก่อนโควิด-19 การเช่าพื้นที่สำนักงานมีแนวโน้มดีขึ้นจากนโยบายให้พนักงานกลับมาทำงานที่ออฟฟิศ 2-3 วันต่อสัปดาห์ ร้านค้าในทำเลดียังแข็งแกร่ง แต่การเช่าคลังสินค้าจะชะลอตามธุรกิจออนไลน์ ด้านดอกเบี้ยสินเชื่อที่อยู่อาศัยมีแนวโน้มลดลง แต่ปัญหาขาดแคลนที่อยู่อาศัยทำให้ราคาและค่าเช่ายังสูง ด้านจีนราคาบ้านมีแนวโน้มลดลง 4% ในสหรัฐมูลค่าอาคารสำนักงานจะลดลงพร้อมหนี้เสียที่เพิ่มขึ้น โดยทั่วโลกมีสินเชื่ออสังหาฯ ที่จะครบกำหนดชำระ 2.1 ล้านล้านดอลลาร์ โดยสามในสี่อยู่ในสหรัฐ
8.ภาคเหมืองแร่และสินแร่โลหะ โดยนโยบายรักษ์โลกและการขยายตัวภาคก่อสร้างจะเป็นปัจจัยสำคัญผลักดันราคาโลหะในปี 2568 ให้ปรับตัวสูงขึ้น โดยดัชนีโลหะมูลฐานของ EIU คาดว่าจะพุ่งขึ้น 7.5% ทำลายสถิติสูงสุดในปี 2565 ด้านราคาทองแดงได้แรงหนุนจากความต้องการใช้ผลิตสายเคเบิลไฟฟ้าและแบตเตอรี่ ขณะที่การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานช่วยพยุงราคาเหล็ก แร่เหล็ก อลูมิเนียม และสังกะสี ส่วนดีบุกเติบโตตามการบริโภคอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์
ทองคำและเพชรมีแนวโน้มสดใสจากการเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยในช่วงเศรษฐกิจผันผวน อย่างไรก็ตาม กลุ่มโลหะที่ใช้ในรถยนต์ไฟฟ้าอย่างนิกเกิล โคบอลต์ และลิเธียม จะปรับตัวขึ้นอย่างช้าๆ เนื่องจากยอดขาย EV ชะลอตัวและผู้ผลิตเริ่มทดลองใช้แบตเตอรี่รูปแบบใหม่
9.ภาคโทรคมนาคมปี 2568 จะเห็นการเติบโตแข็งแกร่งของ 5G โดยคาดว่าจะมีผู้ใช้งานเพิ่มขึ้น 25% เป็น 2.8 พันล้านราย และสมาร์ตโฟน 5G จะมีสัดส่วนถึงสามในสี่ของยอดขายทั้งหมด แต่การครอบคลุมยังขยายตัวช้าในหลายภูมิภาค ขณะที่การพัฒนาอินเทอร์เน็ตบรอดแบนด์ยังล่าช้าในประเทศกำลังพัฒนา เช่น ไนจีเรียและอินเดีย ส่วนการเชื่อมต่อระหว่างประเทศที่พึ่งพาเคเบิลใต้น้ำเผชิญความเสี่ยงจากความขัดแย้ง แต่อาจได้ทางออกจากบริการอินเทอร์เน็ตผ่านดาวเทียมของ OneWeb และ StarLink หากการจัดสรรคลื่นความถี่เป็นไปตามกำหนด
10.อุตสาหกรรมขนส่งปี 2568 เผชิญความท้าทายหลายด้าน โดยการขนส่งทางทะเลยังได้รับผลกระทบจากความตึงเครียดในตะวันออกกลาง ขณะที่ผู้ประกอบการต้องปรับตัวรับกฎระเบียบใหม่ของสหภาพยุโรปที่เรียกเก็บค่ามลพิษและเข้มงวดกับการค้าปลอดภาษี ด้านการขนส่งทางบกประสบปัญหาขาดแคลนคนขับรถบรรทุกทดแทนผู้สูงอายุ ส่วนจีนวางแผนพัฒนาเกาะไหหลำให้เป็นศูนย์กลางการค้าแข่งกับฮ่องกง แต่ยังมีปริมาณตู้คอนเทนเนอร์น้อยกว่ามาก
เหล่านี้คือ 10 แนวโน้มเศรษฐกิจและธุรกิจในปี 2568
บทความนี้เป็นความเห็นส่วนตัวของผู้เขียน ไม่เกี่ยวข้องใด ๆ กับหน่วยงานที่ผู้เขียนสังกัดอยู่