เปิดร้านเอง ถูกกว่าเช่าบนห้าง? ‘Maguro’ ทำร้านริมถนน เพราะคืนทุนไว ถูกกว่าเดิม 4 เท่า

เปิดร้านเอง ถูกกว่าเช่าบนห้าง? ‘Maguro’ ทำร้านริมถนน เพราะคืนทุนไว ถูกกว่าเดิม 4 เท่า

ปีนี้ไปต่ออีก 13 สาขา! “Maguro Group” เปิดสาขาใหม่ได้เกินเป้า ประเดิมร้านสแตนอโลนบนเนื้อที่ 2 ไร่ ปักหมุดย่านประดิษฐ์มนูธรรมเป็นแห่งแรก ลงทุนเยอะแต่ได้รีเทิร์นคุ้มค่า สิ้นปีเตรียมสยายปีกเพิ่มอีก 2 แบรนด์ หวังเติมพอร์ตเครือร้านอาหารญี่ปุ่นแข็งแกร่งยิ่งขึ้น

เพิ่งเข้าตลาดหุ้นไปหมาดๆ เมื่อช่วงกลางปี 2567 สำหรับ “มากุโระ กรุ๊ป” เครือร้านอาหารญี่ปุ่นสัญชาติไทยที่มีการเติบโตเพิ่มขึ้นทุกปี จนทำให้ปีที่แล้วมีรายได้แตะ “พันล้านบาท” เป็นครั้งแรก ส่วนเป้าหมายในการขยายสาขาก็เกินความคาดหวัง ทั้งยังมาพร้อมกับโมเดลธุรกิจใหม่อย่าง “The Flavorhood” โดยผู้บริหารระบุว่า นี่ไม่ใช่คอมมูนิตี้ มอลล์ แต่เป็นพื้นที่รวบรวมร้านอาหารในเครือไว้มากถึง 3 แบรนด์ เพราะอยากเป็นร้านอาหารใกล้บ้านที่ผู้คนในย่านนั้นๆ นึกถึง

“จักรกฤติ สายสมบูรณ์” กรรมการบริหาร และผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัท มากุโระ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เริ่มต้นเล่าที่มาที่ไปให้ฟังว่า สาเหตุที่เลือกโลเกชันประดิษฐ์มนูธรรม เพราะทีมมากุโระคุ้นเคยกับย่านนี้เป็นพิเศษ เดิมทีออฟฟิศมากุโระเคยตั้งอยู่แถวนี้ ซึ่งเมื่อเวลาผ่านไปก็พบว่า ถนนประดิษฐ์มนูธรรมถูกยกระดับให้เป็นทำเลศักยภาพสูง หรือ “Catchment Area”

มีทั้งหมู่บ้านจัดสรร และศูนย์การค้าขนาดใหญ่ขนาบข้าง บวกกับย่านนี้ยาวมาตั้งแต่ลาดพร้าว เกษตร-นวมินทร์ ไปจนถึงเลียบทางด่วนรามอินทรา ยังไม่มีร้านอาหารในเครือมากุโระแม้แต่แห่งเดียว นี่จึงเป็นโอกาสอันดีที่แบรนด์จะได้เข้าใกล้ผู้บริโภคกลุ่มนี้มากยิ่งขึ้น

เปิดร้านเอง ถูกกว่าเช่าบนห้าง? ‘Maguro’ ทำร้านริมถนน เพราะคืนทุนไว ถูกกว่าเดิม 4 เท่า

หากมองจากภายนอก “The Flavorhood” อาจมีลักษณะคล้ายกับคอมมูนิตี้ มอลล์ แต่ “จักรกฤติ” ยืนยันว่า ไม่ได้เป็นเช่นนั้น เทียบเคียงได้กับมอลล์ขนาดย่อมๆ ที่มีร้านอาหารในเครือหลากหลายแบรนด์มากกว่า ด้วยความที่ย่านประดิษฐ์มนูธรรมคราคร่ำไปด้วยหมู่บ้านจัดสรร มีครัวเรือนค่อนข้างเยอะ

“มากุโระ กรุ๊ป” จึงต้องการออกแบบให้ “The Flavorhood” เป็น “Top of mind” ที่คนในครอบครัวหรือกลุ่มเพื่อนนึกถึง เป็นร้านอาหารที่ไม่ต้องฝ่ารถติดไปไกลก็มาพบปะสังสรรค์กันได้ รวมถึงเป็นร้านประจำของครอบครัวที่มีสิ่งอำนวยความสะดวก อย่างที่จอดรถ ห้องน้ำ และในอนาคตอาจมีพื้นที่โซนนั่งเล่นสำหรับเด็กเล็กด้วย

สำหรับโมเดล “The Flavorhood” ผู้บริหารบอกว่า ใช้งบลงทุนกว่า 70 ล้านบาท บนพื้นที่ขนาด 2 ไร่ กับร้านอาหารอีก 3 แห่งในเครือ ด้วยงบก้อนใหญ่ที่สูงเอาการเช่นนี้ “มากุโระ กรุ๊ป” มองเห็นอะไรจึงเลือกเปิดร้านสแตนอโลนมากกว่าเช่าพื้นที่บนห้างตามสูตรเดิม?

เปิดร้านเอง ถูกกว่าเช่าบนห้าง? ‘Maguro’ ทำร้านริมถนน เพราะคืนทุนไว ถูกกว่าเดิม 4 เท่า -ร้าน Maguro ภายในโครงการ “The Flavorhood”-

“จักรกฤติ” ตอบคำถามนี้กับผู้สื่อข่าว “กรุงเทพธุรกิจ” ว่า เกิดจาก Pain Point เรื่องค่าเช่าในศูนย์การค้าที่ค่อนข้างสูง ปัจจุบันการเก็บค่าเช่าถูกปรับเป็นระบบ GP แทบทั้งหมด (เก็บค่าเช่าตามตัวเลขยอดขาย) โดยเฉพาะห้างสรรพสินค้าเกรด A+ และ A- 

เมื่อลองกางตัวเลขบนกระดาษเทียบเคียงระหว่างห้างที่เก็บค่าเช่าระบบ GP กับการออกมาเปิดร้านเอง พบว่า ในระยะยาว 3 ถึง 5 ปี ส่วนที่ต้องจ่ายของการเปิดร้านสแตนอโลน มีสัดส่วนน้อยกว่าค่าเช่าบนห้างมากพอสมควร “Return on Investment” หรือ “ROI” ก็สามารถคืนทุนได้ไวกว่า ค่าเช่าแต่ละเดือนน้อยกว่าการเช่าบนห้างมากถึง 4 เท่าตัวทีเดียว

“มากุโระ กรุ๊ป” ตั้งเป้าคืนทุนโมเดล “The Flavorhood” แห่งนี้ภายใน 1 ถึง 2 ปี ส่วนในอนาคตหากมีการขยาย “The Flavorhood” ไปยังโลเกชันอื่นๆ งบลงทุนอาจผันแปรไปบ้างตามความเหมาะสมของสถานที่ โดยจะเป็นรายละเอียดเรื่องงานโครงสร้างและสถาปัตยกรรมที่จะทำให้งบลงทุนมากน้อยแตกต่างกันไป

“จักรกฤติ” บอกว่า สิ่งที่ร้านสแตนอโลนให้ได้มากกว่าร้านอาหารในศูนย์การค้า คือการออกแบบทั้งภายในและภายนอก ซึ่งจะทำให้ลูกค้าได้รับประสบการณ์ที่แตกต่างกัน แม้จะมีงบส่วนงานสถาปัตยกรรมภายนอกที่เพิ่มเข้ามา แต่ก็มองว่า คุ้มค่ากับการยกระดับ “Customer Experience” ไปอีกขั้น

เปิดร้านเอง ถูกกว่าเช่าบนห้าง? ‘Maguro’ ทำร้านริมถนน เพราะคืนทุนไว ถูกกว่าเดิม 4 เท่า -จักรกฤติ สายสมบูรณ์ และ เอกฤกษ์ แสงเสรีดำรง ผู้ก่อตั้งมากุโระ กรุ๊ป-

อย่างไรก็ตาม “มากุโระ กรุ๊ป” ไม่ได้ให้น้ำหนักโมเดลใดไปมากกว่ากัน ร้านอาหารบนศูนย์การค้ายังมีข้อได้เปรียบเรื่อง “High-traffic” ส่วนคอมมูนิตี้ มอลล์ แม้ค่าเช่าจะถูกกว่าแต่ทราฟิกไม่เท่ากับศูนย์การค้าเกรดพรีเมียม จึงต้องไปด้วยกลยุทธ์การปั้นแบรนด์ให้เป็นเดสทิเนชัน

ส่วนโมเดลแบบ “The Flavorhood” ก็เป็นตัวเลือกใหม่ที่เพิ่มเติมเข้ามา ต้องชั่งน้ำหนักตามศักยภาพของทำเลนั้นๆ ดูเรื่องการรันตัวเลข การสร้างผลตอบแทนว่า แบบไหนจะสร้างผลกำไรได้ตามเป้ามากกว่ากัน

สำหรับรายละเอียดโครงการ “The Flavorhood” ประกอบไปด้วย มากุโระ (Maguro) ฮิโตริ ชาบู (Hitori Shabu) และร้านอาหารรูปแบบ “All-day dining” แบรนด์ใหม่แกะกล่อง เปิดตัวที่แรกที่สาขานี้ ในวันที่ 24 ธันวาคม 2567 โดยนอกจากร้านนี้แล้ว ยังมี “ทงคัตสึ อาโอกิ” (Tonkatsu Aoki) ร้านทงคัตสึชื่อดังจากญี่ปุ่นจะมาประจำการสาขาเซ็นทรัลเวิลด์เป็นแห่งแรก ในวันที่ 19 ธันวาคม 2567

เปิดร้านเอง ถูกกว่าเช่าบนห้าง? ‘Maguro’ ทำร้านริมถนน เพราะคืนทุนไว ถูกกว่าเดิม 4 เท่า

ส่วนภาพรวมของ “มากุโระ กรุ๊ป” ปีนี้ “เอกฤกษ์ แสงเสรีดำรง” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัท มากุโระ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) บอกว่า ทะลุเป้าเพิ่มขึ้นมาเล็กน้อย จากเดิมที่วางแผนเปิดใหม่ 12 สาขา ปีนี้จนจบไตรมาสที่ 4 ร้านอาหารทั้งเครือจะมีสาขาใหม่ทั้งหมด 13 สาขา  ปัจจุบันเปิดไปแล้ว 8 สาขา และจะเปิดอีก 5 สาขาภายในสิ้นปีนี้

“เราตั้งเป้าไว้ที่ 12 สาขา แต่พอเดินทางมาถึงช่วงไตรมาสที่ 3 ก็มีโอกาสดีๆ เข้ามา จึงมีการปรับแผนอีกรอบ ตอนนี้กลายเป็น 13 สาขาในปีนี้ รวมทั้งหมดทุกแบรนด์ตอนนี้เรามี 33 สาขา ปลายปีนี้ก็จะมีไฮไลต์ คือแบรนด์ใหม่อีก 2 แบรนด์ ได้แก่ “ทงคัตสึ อาโอกิ” ที่เซ็นทรัลเวิลด์ เป็นร้านแฟล็กชิปสโตร์สาขาแรกในไทย และแบรนด์ที่สองเ รื่องชื่อและคอนเซปต์ขออุบไว้อีกนิดหนึ่ง โดยแบรนด์นี้จะตั้งอยู่อาคารด้านซ้ายสุดของโครงการ The Flavorhood” ผู้บริหารกล่าวปิดท้าย