อสังหาฯ ‘แบรนด์เนม’ ในไทยบูมแรง! ก้าวสู่ ‘ยุคทอง’ มูลค่าเฉียด 2 แสนล้านบาท
รายงานการตลาดอสังหาริมทรัพย์ฉบับใหม่ล่าสุดจาก “ซีไนน์ โฮเทลส์” (C9 Hotelworks) ภายใต้ชื่อ “Thailand Branded Residences Market Review 2024” ระบุว่า ปัจจุบันนักพัฒนาอสังหาฯ ไทยได้ขยายขอบเขตจากแบรนด์โรงแรมไปสู่ “แบรนด์ชั้นนำระดับโลก” ทั้งรถยนต์ แฟชัน และเวลเนส
เพื่อสร้างเอกลักษณ์ที่โดดเด่น ตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าระดับไฮเอนด์!
หนึ่งในตัวอย่างคือโครงการ “ปอร์เช่ ดีไซน์ ทาวเวอร์ แบงคอก” (Porsche Design Tower Bangkok) ซึ่งเป็นโครงการระดับอัลตราลักชัวรี ณ ทำเลศักยภาพบนสุขุมวิท 38 ย่านทองหล่อ ของค่าย อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ เข้ามายกระดับตลาดอสังหาริมทรัพย์แบรนด์เนม สะท้อนให้เห็นถึงการก้าวกระโดด ด้วยราคาขายต่อตารางเมตรสูงที่สุดในตลาด “1 ล้านบาท” ต่อตารางเมตร และราคาขายต่อยูนิตเริ่มต้นที่ 495 ล้านบาทต่อยูนิต ไปจนถึงสูงสุดกว่า 1,300 ล้านบาทต่อยูนิต ซึ่งถือเป็นราคาสูงที่สุดในตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยขณะนี้
ชานนท์ เรืองกฤตยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ อธิบายถึงเสน่ห์ของอสังหาริมทรัพย์แบรนด์เนมว่า “คนไทยให้ความสำคัญกับแบรนด์ เราจึงเลือก Porsche ซึ่งเป็นแบรนด์ที่ได้รับความนิยมจากกลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อสูง เพื่อสร้างความแตกต่างในตลาดที่มีการแข่งขันสูง สำหรับเรา การผลักดันราคาและสร้างความแตกต่างเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้โครงการของเราโดดเด่นจากคู่แข่ง”
ด้าน บิลล์ บาร์เนตต์ กรรมการผู้บริหาร C9 Hotelworks กล่าวถึงรายงานฉบับนี้ซึ่งระบุว่า “ประเทศไทยเป็นผู้นำในเอเชียด้านอสังหาริมทรัพย์แบรนด์เนม ซึ่งมีมูลค่าทรัพย์สินที่ซื้อขายหรืออยู่ระหว่างการพัฒนา 1.91 แสนล้านบาท”
ตลาดอสังหาริมทรัพย์แบรนด์เนมในประเทศไทยกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว มีโครงการอสังหาริมทรัพย์สำหรับที่อยู่อาศัยแบรนด์ทั้งหมด 46 โครงการ ประกอบด้วย 10,081 ยูนิต โดย 67% ตั้งอยู่ในพื้นที่รีสอร์ต ขณะที่ “ภูเก็ต” เป็นจุดหมายปลายทางชั้นนำที่มีโครงการอสังหาริมทรัพย์อยู่ถึง 41% ขณะที่อีก 33% ตั้งอยู่ใน “กรุงเทพฯ” ราคาเฉลี่ยต่อตารางเมตรในกรุงเทพฯ อยู่ที่ 279,600 บาทต่อตารางเมตร ซึ่งสูงกว่าในพื้นที่รีสอร์ตเป็นอย่างมาก สะท้อนถึง “ความพรีเมียม” ของที่ดินในเมืองหลวง
ตลาดอสังหาริมทรัพย์แบรนด์เนมในไทยกำลังเปลี่ยนแปลงไป นักพัฒนาเริ่มหันมาให้ความสำคัญกับการสร้างแบรนด์ที่แข็งแกร่งเพื่อดึงดูด “ผู้ซื้อต่างชาติ” มากขึ้น โดยเฉพาะในกรุงเทพฯ ด้วยเงื่อนไขสินเชื่อที่เข้มงวดสำหรับผู้ซื้อในประเทศ เศรษฐกิจซบเซา และอุปทานที่ล้นตลาดจากกลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ฯขนาดใหญ่
“การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้เป็นการผลักดันให้อุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ไทยก้าวไปอีกขั้น โดยมีการนำแบรนด์ระดับโลกมาผสมผสาน เพื่อสร้างชุมชนไลฟ์สไตล์ที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าระดับไฮเอนด์ ตัวอย่างเช่น โครงการ Tri Vananda ในภูเก็ต ที่ได้ร่วมมือกับแบรนด์สุขภาพระดับโลกอย่าง La Prairie และ Gardens of Eden เพื่อสร้างประสบการณ์ที่แตกต่างและตอบโจทย์ของผู้อยู่อาศัย โครงการแบบบูรณาการนี้มี มาร์ติน เพลเลโรส์ สถาปนิกผู้คว้ารางวัลชนะเลิศระดับนานาชาติเป็นผู้ออกแบบ ทั้งหมดนี้เพื่อสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันและยกระดับราคา”
ทั้งนี้ ตลาดอสังหาริมทรัพย์แบรนด์เนมในไทยมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่องในอนาคต เนื่องจากประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนต่างชาติและผู้ที่มองหาที่อยู่อาศัยหลักหรือรอง ข้อได้เปรียบที่น่าดึงดูด ได้แก่ การอนุญาตให้ชาวต่างชาติเป็นเจ้าของคอนโดมิเนียม วีซ่าพำนักระยะยาว และการย้ายถิ่นฐานของผู้คนที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่องทั่วโลก ก็เป็นปัจจัยสำคัญที่สนับสนุนการเติบโตของตลาดอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทย
“การแข่งขันในตลาดอสังหาริมทรัพย์แบรนด์เนมของไทยจะเข้มข้นขึ้น เนื่องจากมีแบรนด์ต่างชาติเข้ามาลงทุนในประเทศเพิ่มมากขึ้น ซึ่งจะทำให้แบรนด์ไทยต้องแข่งขันกับแบรนด์ระดับโลก” บิลล์กล่าว