ไทยกำลังจะเป็น 'ฮับสีเทา'
นายกรัฐมนตรีฝันว่าประเทศไทยจะเป็นฮับ (hub) หลายอย่าง ทั้งฮับการท่องเที่ยว ฮับการเงิน ฮับไอที ฮับการขนส่งและอีกหลายๆ ฮับ
แต่เมื่อหันมาดูสภาพความเป็นไปของบ้านเมืองขณะนี้ จะเห็นว่าเต็มไปด้วยปัญหาการทุจริตประพฤติมิชอบและการละเมิดกฎหมายในทุกวงการ การหลอกลวงต้มตุ๋มเกิดขึ้นรายวันทั้งจากคนไทยกันเองและจากต่างชาติ ทุนจีนสีเทาระบาดไปทุกหย่อมย่าน
ฝ่ายการเมืองก็เต็มไปด้วยคำถามว่า ใครเป็นนายกรัฐมนตรีตัวจริง ผลการสรรหาวุฒิสมาชิกฟ้องว่ามีการจัดตั้งกันอย่างเป็นเครือข่ายโดยไม่เกรงใจประชาชน ยังไม่รวมเรื่องฉาวโฉ่ในวงการตำรวจที่เป็นมหากาพย์มายาวนานและนับวันจะเลวร้ายลงโดยไม่มีการแก้ไข
อะไรทำให้ประเทศไทยมาถึงจุดนี้ จุดที่ไม่มีใครเกรงกลัวกฎหมายกันอีกต่อไป การทุจริตในทุกวงการกลายเป็นความเคยชิน วงการตำรวจออกมาสาวไส้กัน ทั้งเรื่องส่วย บ่อนและพนันออนไลน์ จากนั้นมีการสั่งย้ายตำรวจชั้นผู้ใหญ่เพื่อสอบสวน จบลงที่ทุกอย่างเหมือนเดิม อยู่ๆ เรือขนน้ำมันเถื่อนทั้งลำอันตรธานหายไป
ลากสายเคเบิลยาวกว่า 10 กิโลเมตรจากชายแดนฝั่งไทยเข้าเมียนมาเพื่อเอื้อธุรกิจอาชญากรรมก็ทำได้ การค้ามนุษย์ การหลบหนีเข้าเมืองผิดกฎหมายกระจายไปทั่ว เหล่านี้คือความขมขื่นที่ประชาชนคนไทยต้องรับสภาพจากการละเลยของผู้มีหน้าที่เกี่ยวข้อง สาเหตุแห่งความฟอนเฟะเหล่านี้น่าจะมาจากเหตุผลต่อไปนี้
ผู้นำขาดความจริงจังและใส่ใจ ตั้งแต่รัฐบาลเข้ามาทำงานยังไม่เคยเห็นนายกรัฐมนตรีประกาศเอาจริงเอาจังกับเรื่องเหล่านี้สักที ในขณะที่ปลาหมอคางดำเป็นวาระแห่งชาติ แต่เรื่องทุจริตคอร์รัปชันกลายเป็นสิ่งที่ผู้นำให้น้ำหนักน้อยมาก
แม้ว่านายกรัฐมนตรีจะนั่งอยู่ในคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) เห็นปัญหาที่หมักหมมมานานแต่ยังไม่มีการแก้ไขเป็นรูปธรรม เกิดเรื่องทีก็ตั้งกรรมการสอบกันทีแล้วเรื่องก็เงียบหาย
นักการเมืองขาดสำนึก การแต่งตั้งคนที่เคยมีประวัติด่างพร้อยเข้ามาเป็นรัฐมนตรี การวิ่งเต้นเอาพรรคพวกหัวคะแนนเข้ามานั่งเป็นเลขา ที่ปรึกษา และสารพัดตำแหน่ง ทำให้ทุกกระทรวงเต็มไปด้วยคนของนักการเมืองที่จ้องจะหาช่องทางทำมาหากิน
ยิ่งตอนนี้ต้องรีบเร่งใช้งบประมาณปลายปียิ่งเห็นความไม่ชอบมาพากลกับการปั้นโครงการต่างๆ มากมาย ขณะที่นักกฎหมายใหญ่ก็กลับกลายเป็นเครื่องมือของนักการเมืองที่ให้มาเป็นที่ปรึกษาเพื่อหาช่องโหว่ช่องว่างทางกฎหมาย
การบังคับใช้กฎหมายและกระบวนการยุติธรรมที่บิดเบี้ยว เป็นการส่งเสริมการทุจริตประพฤติมิชอบให้เกิดอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะรัฐบาลนี้ที่ทำการอย่างไม่เกรงใจประชาชน
การบังคับใช้กฎหมายอยู่ในสภาพพังยับเยิน ตั้งแต่นำตัวนักโทษหนีคดีกลับมาในสภาพคนป่วยแล้วไม่ต้องติดคุกสักวันเดียว ทุกวันนี้ก็จึงเหิมอำนาจทำทุกเรื่องให้ปั่นป่วนไปหมด
ตำรวจไม่มีสภาพผู้บังคับใช้กฎหมาย ทุกวันนี้ตำรวจจึงเสื่อมในสายตาประชาชน ไม่มีใครกลัวแต่รังเกียจ เพราะรู้ว่าถ้ามีเรื่องอะไรไปถึงตำรวจก็จะต้องเสียเงินวิ่งเต้น
เวลามีปัญหาประชาชนจึงต้องพึ่งทนายหิวแสงหรือโซเชียลมีเดียมากกว่าพึ่งตำรวจ สถาบันตำรวจไม่เคยปฏิรูปได้เสียทีไม่ว่ารัฐบาลไหน จึงสร้างความฉาวโฉ่รายวัน ต่างคนต่างหากินกันอย่างไม่สำนึกว่าตนเป็นผู้รักษากฎหมาย
การปฏิรูปตำรวจต้องไม่ใช่การแก้กฎหมายแบบหยุมหยิม จะแก้จริงต้องทุบทิ้งแล้วสร้างใหม่ทั้งหมดแบบยกเครื่อง แต่ปัญหาคือใครจะกล้าหาญพอ กระบวนการยุติธรรมถูกตั้งคำถามมากมาย ทั้งที่เคยเป็นสถาบันที่เป็นความหวังว่าเงินซื้อไม่ได้ แต่วันนี้ไม่มีใครแน่ใจ
สถาบันนี้ถูกมองด้วยความเคลือบแคลง ประกอบกับกฎหมายที่ล้าสมัย ล่าช้า การลงโทษที่ไม่เด็ดขาด จึงทำให้คนพร้อมจะเสี่ยงดวงทำผิด เพราะเชื่อว่าถึงติดคุกไม่นานก็ออกมาได้ ถึงอยู่ในคุกก็ใช้เงินซื้อทุกอย่างได้
กระบวนการบังคับใช้กฎหมายและกระบวนการยุติธรรมที่อ่อนแอ รวมทั้งการที่เงินซื้อได้ทุกอย่าง จึงทำให้ประเทศไทยเป็น “สวรรค์”ของอาชญากรจากทั่วโลก ภาคประชาสังคมที่อ่อนล้าและอ่อนแรง ประชาชนอยู่ในสภาพเบื่อหน่ายไม่เอาใจใส่ เพราะไม่เห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์
ด้วยเหตุผลทั้งสามข้อข้างต้น ทุกวันนี้ประชาชนจึงชินกับการทุจริต ยินดีจะเป็นส่วนหนึ่งในการทุจริตด้วยซ้ำด้วยความคิดว่า “ใครๆ เขาก็ทำกัน” ทุนจีนเทาจึงระบาดไปจนถึงระดับหมู่บ้าน ในสังคมยังปราศจากการปกป้องคุ้มครองคนที่ให้เบาะแส (whistleblower) จึงยิ่งสร้างสังคมที่เนือยนิ่งและสิ้นหวังต่อการทุจริตยิ่งขึ้นไปอีก
ในสังคมที่บิดเบี้ยวไปทุกวงการและเงินซื้อได้ทุกอย่าง จึงป่วยการที่นายกรัฐมนตรีจะฝันเป็นฮับอะไรต่ออะไร นักลงทุนต้องคิดแล้วคิดอีกว่าจะต้องฝ่าด่านการทุจริตกี่ด่านถึงจะทำธุรกิจได้
ทำแบบขาวสะอาดก็ไม่สามารถสู้คนที่เส้นใหญ่กว่าและมีผู้มีอำนาจคุ้มครอง เขาก็ต้องพลอยตามน้ำไป จนกว่าความจะแตก ไม่แตกในเมืองไทย แต่แตกในต่างประเทศที่เขาจับหลักฐานได้เอง สร้างความอับอายไปทั่วโลกอีก
เมืองไทยจึงกลายเป็นแหล่งซ่องสุมติดอันดับโลก ทั้งยาเสพติด ของปลอมของเถื่อน แรงงานผิดกฎหมาย การค้ามนุษย์ค้าประเวณี การหลอกลวงต้มตุ๋ม การลอบขนและทิ้งกากสารพิษ การเป็นที่กบดานของอาชญากร
ใครจะมาลงทุนหรือคบค้ากับเราก็คงต้องคิดหนัก เพราะอันดับภาพลักษณ์คอร์รัปชันไทยอยู่ท้ายๆ ที่อันดับ 108 จาก 180 ประเทศเมื่อปี 2566 ได้แค่ 35 คะแนนจาก 100 คะแนน
ไหนๆ นายกรัฐมนตรีก็ไม่อาจจะทำให้ฮับอะไรต่ออะไรที่ฝันและป่าวประกาศไว้ประสบความสำเร็จได้สักเรื่องแล้ว น่าจะดีกว่าไหมหากจะทำให้ประเทศห่างไกลจากการเป็นฮับสีเทาอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้
ด้วยการเอาจริงเอาจังกล้าหาญกวาดล้างความเน่าเฟะจากขบวนการคอร์รัปชัน ละเมิดกฎหมาย และการประพฤติมิชอบทุกรูปแบบที่เป็นอยู่ขณะนี้ แทนที่จะเสียเวลาไปกับการวาดฝันไปวันๆ