Chief Future Officer ค้นหาและสร้างอนาคต
การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและหลากมิติ การเตรียมความพร้อมรับมืออนาคต เป็นสิ่งที่องค์กรและบุคคลต้องให้สำคัญในอันดับต้นๆ หลายองค์กรในต่างประเทศถึงกับสร้างตำแหน่งใหม่ขึ้นมา เพื่อรับผิดชอบในการวิเคราะห์และจับตาอนาคตเป็นการเฉพาะ
บางแห่งเรียกว่า Chief Future Officer บางแห่งเรียกว่า Chief Foresight Officer ซึ่งในอนาคตมีการคาดการณ์ว่าน่าจะกลายเป็นตำแหน่งงานใหม่ในองค์กรชั้นนำต่างๆ
บทบาทของ CFO ใหม่นี้มุ่งเน้นพิเศษกับประเด็นอนาคต ทำหน้าที่ตรวจตราการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นทั้งแนวโน้มการเปลี่ยนแปลง คลื่นสัญญาณและชีพจรใหม่ๆ ที่กำลังเกิดขึ้น ความไม่แน่นอนและความเสี่ยงต่างๆ ที่จะกระทบกับองค์กรในอนาคต
ตลอดจนทำหน้าที่ “ดมกลิ่น” สัญญาณอ่อนๆ (weak signal) ที่กำลังพัฒนาขึ้นมา “ตรวจจับ” กระแสน้ำที่กำลังไหลเปลี่ยนทิศทาง รวมทั้งสร้างฉากทัศน์ความเป็นไปได้ที่อาจจะเกิดขึ้น เพื่อวางแนวทางยุทธศาสตร์รับมือกับอนาคต
ที่ผ่านมา ผู้เขียนมีโอกาสเข้าไปเป็นผู้นำกระบวนการเพื่อจัดการวิเคราะห์ภาพอนาคตเชิงยุทธศาสตร์ (Strategic Foresight) ให้กับหลายๆ องค์กรรวมนับร้อยครั้ง ข้อสังเกตหนึ่งของผู้เขียนในระยะหลังคือ องค์กรต่างๆ มีความตื่นตัวกับอนาคตอย่างไม่เคยมีมาก่อน
ปัจจัยขับเคลื่อนความตื่นตัว อาจเกิดจากการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วมากขึ้นจากพัฒนาการทางเทคโนโลยี ประเด็นความซับซ้อนด้านภูมิรัฐศาสตร์ กฎระเบียบใหม่ๆ และการเปลี่ยนแปลงด้านสิ่งแวดล้อม ซึ่งทำให้ผู้นำองค์กรต้องกลับมาคิดใหม่และคิดไปที่อนาคตมากขึ้น
ในวิชาอนาคตศาสตร์นั้น มีเครื่องมือมากมายในการสำรวจอนาคต ส่วนใหญ่ในประเทศไทยจะใช้วิธีการวิเคราะห์ภาพอนาคตเชิงยุทธศาสตร์ อย่างไรก็ดี ผู้เขียนคิดว่ามีอีกเครื่องมือหนึ่งที่น่าสนใจในการสำรวจอนาคตให้กับองค์กร นั่นคือวิธีที่เรียกกันว่า Future Search
ซึ่งเป็นวิธีการที่ออกแบบมาเพื่อรวบรวมบุคคลจากหลากหลายภาคส่วน หลายความเชี่ยวชาญและพื้นเพชีวิตมาเข้าร่วมในกระบวนการสร้างวิสัยทัศน์และการวางแผนอนาคตร่วมกัน ไม่ใช่เฉพาะคนภายในองค์กรเท่านั้น
“Future Search” พัฒนาขึ้นโดย Marvin Weisbord และ Sandra Janoff ซึ่งเขียนในหนังสือชื่อ “Future Search: Getting the whole system in the room for vision, commitment and action” ในชื่อรองของหนังสือสะท้อนปรัชญาที่น่าสนใจ คือนำ “ระบบ” ทั้งหมด ซึ่งหมายถึงคนที่อยู่ในส่วนต่างๆ ของทั้งระบบเข้ามาอยู่ในห้องพร้อมกัน เพื่อร่วมกันสร้างวิสัยทัศน์ พันธสัญญาและการกระทำสู่อนาคต
กระบวนการ “Future Search” มักอยู่ในรูปแบบของการประชุมเชิงปฏิบัติการที่มีโครงสร้าง ใช้เวลาประมาณ 2-3 วัน ในช่วงเวลานี้ ผู้เข้าร่วมจะสะท้อนถึงอดีต วิเคราะห์แนวโน้มในปัจจุบัน และมองเห็นอนาคตที่ต้องการ จุดมุ่งหมายคือการสร้างวิสัยทัศน์ร่วมกัน จนถึงแนวทางการดำเนินการร่วมกันที่สามารถนำวิสัยทัศน์นั้นไปสู่ความเป็นจริงได้
ปรัชญาของ Future Search มุ่งเน้นไปที่การคิดเชิงระบบ ซึ่งยอมรับว่าความท้าทายที่เราเผชิญนั้นเชื่อมโยงกันและไม่สามารถเข้าใจอย่างแยกส่วนจากกันได้ รวมถึงการให้ความสำคัญกับการระบุและใช้ประโยชน์จากจุดแข็งและความสำเร็จของแต่ละบุคคลและองค์กรแทนที่จะเน้นที่การแก้ไขปัญหาเพียงอย่างเดียว แต่สร้างความพร้อมให้กับการเผชิญอนาคตและขับเคลื่อนให้เกิดการเปลี่ยนแปลง
“Future Search” เชื่อว่าคือคนจะสนับสนุนสิ่งที่พวกเขาช่วยกันสร้าง เมื่อบุคคลจากหลากหลายที่มาและมุมมองมาร่วมกันสร้างวิสัยทัศน์อนาคต
ความมุ่งมั่นต่อวิสัยทัศน์นั้นจะแข็งแกร่งและยั่งยืนยิ่งขึ้นกว่าการกำหนดวิสัยทัศน์จากผู้นำ กระบวนการจึงเน้นความเป็นประชาธิปไตย ทำให้เสียงทุกเสียงของระบบถูกได้ยินและมีคุณค่าเพียงพอต่อการรับฟัง
กระบวนการโดยทั่วไปจะเริ่มจากการทบทวนอดีต ผู้เข้าร่วมจากส่วนต่างๆ ของระบบเริ่มต้นแบ่งปันเหตุการณ์และแนวโน้มสำคัญจากประวัติศาสตร์ส่วนบุคคลและองค์กร ซึ่งช่วยสร้างความเข้าใจร่วมกันในบริบทและเป็นพื้นฐานสำหรับการสนทนา
ต่อจากนั้นเริ่มสำรวจปัจจุบัน ผู้เข้าร่วมช่วยกันตรวจสอบแนวโน้ม ความท้าทาย และโอกาสในปัจจุบัน รวมถึงปัจจัยทั้งภายในและภายนอกที่ส่งผลกระทบต่อองค์กรและชุมชนของผู้เข้าร่วม
จากนั้น ผู้เข้าร่วมจะช่วยกันการสร้างฉากสถานการณ์อนาคตที่สมบูรณ์แบบขึ้นมา โดยเน้นการฝันให้ใหญ่และมองเห็นอนาคตที่สมบูรณ์แบบ วิสัยทัศน์จะไม่ถูกจำกัดด้วยข้อจำกัดปัจจุบัน แต่มีความทะเยอทะยานและกล้าได้กล้าเสีย
หลังจากนั้นจะเป็นขั้นตอนสำคัญสำหรับการสร้างฉันทามติและความรู้สึกร่วมในการทำงาน สุดท้ายทำการพัฒนาแนวทางดำเนินการเพื่อก้าวไปสู่อนาคตที่มองเห็นได้ จัดทำแผนให้เป็นรูปธรรม มีมาตรการที่สามารถบรรลุผลได้ และมีระยะเวลาการดำเนินการที่ชัดเจน
ตัวอย่างหนึ่งที่น่าสนใจของการประยุกต์ใช้ Future Search คือการฟื้นฟูย่านลอว์เรนซ์วิลล์ในเมืองพิตต์สเบิร์ก รัฐเพนซิลเวเนีย ซึ่งกำลังเผชิญกับการเสื่อมถอยทางเศรษฐกิจและสังคม
ผู้นำชุมชนได้จัดการประชุม Future Search เพื่อนำผู้อยู่อาศัย เจ้าของธุรกิจ เจ้าหน้าที่เมือง และองค์กรไม่แสวงหาผลกำไรมาทำงานร่วมกัน
ในระหว่างการประชุม ผู้เข้าร่วมได้แบ่งปันประสบการณ์และแรงบันดาลใจสำหรับลอว์เรนซ์วิลล์ โดยระบุเป้าหมายร่วมกัน เช่น การปรับปรุงความปลอดภัยสาธารณะ การเพิ่มโอกาสทางเศรษฐกิจ และการรักษาประวัติศาสตร์ของย่านชุมชน กระบวนการนี้นำไปสู่การสร้างแผนฟื้นฟูเมืองที่ครอบคลุม รวมถึงโครงการเฉพาะ เช่น การจัดตั้งเขตปรับปรุงธุรกิจและการบูรณะอาคารประวัติศาสตร์
ความร่วมมือผ่าน Future Search ช่วยให้แผนฟื้นฟูนี้ได้รับการสนับสนุนอย่างกว้างขวาง ส่งผลให้ลอว์เรนซ์วิลล์กลับมาคึกคักอีกครั้งและกลายเป็นย่านที่มีชีวิตชีวาและน่าอยู่ที่สุดแห่งหนึ่งของพิตต์สเบิร์ก
ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็ว และบรรยากาศที่มีความกลัวต่ออนาคตที่กำลังเกิดขึ้น เราอาจจำเป็นต้องถอยมาตั้งหลัก เพื่อร่วมกัน Future Search อนาคตกันใหม่อีกครั้งทั้งในระดับองค์กร ชุมชน เมืองและประเทศ เพื่อสร้างความหวังต่ออนาคตที่ดีให้เกิดขึ้นครับ.