ครอบครัวนักธุรกิจร้อง "กองปราบ" ชี้พ่อถูกขบวนการหลอกเอาทรัพย์กว่า 50 ล้าน

ครอบครัวนักธุรกิจร้อง "กองปราบ" ชี้พ่อถูกขบวนการหลอกเอาทรัพย์กว่า 50 ล้าน

แฉวิถีโจร! ครอบครัวนักธุรกิจอสังหาฯร้อง "กองปราบ" ชี้พ่อวัย 75 ถูกขบวนการหลอกเอาทรัพย์กว่า 50 ล้าน

ครอบครัวนักธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์ ร้องกองปราบ อ้างบิดาถูกขบวนการหลอกสูญไปแล้วกว่า 50 ล้านบาท ทำทีเข้ามาตีสนิทซื้ออสังหาริมทรัพย์ ระบุถูกชะตาอยากร่วมลงทุนด้วย สุดท้ายพฤติกรรมส่วนตัวเปลี่ยน ถึงขั้นยอมจดทะเบียนสมรสก่อนถูกโอนถ่ายทรัพย์สินทั้งขายและจำนอง วอนกองปราบช่วยตรวจสอบความจริง

ที่ ศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ บช.ก. นายศุภโชค นักธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์ พร้อมครอบครัว และนายพิทยา เพชรพลอย , นายปัจจุคมน์ เจริญรัชต์ ทนายความ เดินทางเข้าร้องทุกข์ต่อ กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) เพื่อขอให้สืบสวนสอบสวนหาข้อเท็จจริง หลังสงสัยว่าบิดากำลังถูกกลุ่มบุคคล ที่น่าจะเป็นขบวนการ เข้ามาหลอกลวง ทำให้สูญเสียทรัพย์สิน ไปแล้วประมาณ 50 ล้านบาท

แฉพฤติกรรมโจรทำเป็นขบวนการ

นายศุภโชค เปิดเผยว่า พ่อตนเอง ซึ่งปัจจุบันอายุ 75 ปี เป็นทนายความ และทำธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์ เมื่อช่วงเดือนเมษายน ที่ผ่านมา พ่อได้รับการแนะนำให้รู้จักกับบุคคลคนหนึ่งซึ่งอ้างว่าสนใจจะมาซื้ออสังหาริมทรัพย์ ที่พ่อกำลังประกาศขาย โดยบุคคลดังกล่าวอ้างว่ามีเงินมากมาย แต่ละเดือนจะมีรายได้หลายร้อยล้านบาท และอยากมาร่วมลงทุนทำธุรกิจกับพ่อเพราะถูกชะตาและศรัทธาในความสามารถซึ่งผู้เป็นพ่อก็หลงเชื่อตามนั้น 

หลังจากนั้น ตั้งแต่เดือนมิถุนายน ที่ผ่านมา บิดานายศุภโชคก็มีพฤติกรรมเปลี่ยนไปอย่างมาก ออกจากบ้านไปอยู่กับบุคคลดังกล่าว ไม่กลับบ้าน ลดการติดต่อกับคนครอบครัว และขาดการพบปะเพื่อนฝูง ไม่ไปพบแพทย์ตามปกติ เลยกำหนดเป็นเวลาหลายเดือน ตนได้ติดต่อไปยังบุคคลดังกล่าว เพื่อขอให้พาพ่อไปหาหมอ เมื่อปลายเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา บุคคลนั้นได้พาพ่อไปที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง และแพทย์ได้ออกใบรับรองแพทย์ โดยระบุว่าพ่อสามารถทำนิติกรรมได้

ล่อจดทะเบียนสมรส

นายศุภโชค กล่าวอีกว่า จากนั้นพ่อได้จดทะเบียนสมรสกับบุคคลดังกล่าว ซึ่งเป็นที่น่าสงสัยว่าบุคคลนั้น ได้ทำการหย่าขาดกับสามีเดิมซึ่งเป็นอดีตตำรวจ และในวันเดียวกันนั้น ก็จดทะเบียนสมรสกับพ่อในทันที โดยการหย่าและการจดทะเบียนสมรสนั้น เกิดขึ้นที่ อ.พรานกระต่าย จ.กำแพงเพชร 

ทางครอบครัวได้ปรึกษากันว่า เรื่องที่เกิดขึ้นกับพ่อ ถือเป็นเรื่องแปลก เพราะพ่ออยู่กินกับภรรยาคนปัจจุบัน และช่วยกันทำมาหากินกันมาตั้งแต่ปี 2521 โดยไม่ได้มีการจดทะเบียนสมรสกัน แต่พอมาเจอกับบุคคลดังกล่าวไม่กี่เดือน กลับไปจดทะเบียนสมรสกัน

“เมื่อตรวจสอบข้อมูลเรื่องการทำนิติกรรม พบข้อมูลที่ทำให้เกิดความเสียหายกับทางครอบครัว เช่น มีการโอนทรัพย์สินของคุณพ่อหรือของครอบครัว เช่น หุ้น ที่ดิน และคอนโดมีเนียม โดยอ้างว่าเป็นการขายให้ลูกชายของบุคคลดังกล่าว ซึ่งครอบครัวคิดว่าอาจจะไม่มีการจ่ายเงินจริง หรือไม่เงินก็ถูกเอาไปจากคุณพ่อหมดแล้ว ทั้ง 3 รายการนี้ มีมูลค่าประมาณ 20 ล้านบาท”

 อีกทั้ง ยังมีการจัดการให้พ่อไปจำนองทรัพย์สินหลายรายการ โดยไม่ทราบว่าได้เงินมาจริงหรือไม่ และตอนนี้เงินไปอยู่ที่ใดบ้าง ซึ่งรายการทรัพย์สินเหล่านี้รวมกับเงินสดที่พ่อได้มาจากการขายที่ดิน หรือค่าเช่าที่ดิน​ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา รวมกันประมาณ​ 30 ล้านบาท ซึ่งครอบครัวก็เพิ่งทราบว่าบุคคลดังกล่าวมีความพยายามในการนำทรัพย์สินของพ่อและครอบครัว ไปขายและจำนองในราคาต่ำ

“ระยะเวลาที่ผ่านมา ครอบครัวก็อดทนมาตลอด แต่มาวันนี้ ผมกับครอบครัว ก็ตัดสินใจมาร้องขอความช่วยเหลือจากกองปราบฯ​ ให้ช่วยดำเนินการค้นหาข้อเท็จจริง ว่าเป็นอย่างที่ทางครอบครัวสงสัยหรือไม่ เพราะทางเราเองก็ได้รับทราบจากข่าวว่า มีกรณีผู้เสียหายรายอื่นๆ ที่ตกเป็นเหยื่อของบุคคลนี้ โดยมีพฤติกรรมที่คล้ายกันมาก”

นายศุภโชคยังกล่าวด้วยว่า อยากขอให้สื่อมวลชนช่วยกันเตือนสังคมว่า ไม่ควรไปยุ่งเกี่ยวกับบุคคลประเภทนี้ เพราะเราไม่อยากเห็นใครไปหลงเชื่อ และต้องเกิดความเสียหายอีก พร้อมทั้งขอฝากไปถึงบุคคลภายนอกที่สุจริตว่าไม่ควรที่จะเข้ามาซื้อ หรือรับจำนองทรัพย์สินของพ่อหรือของครอบครัว จากบุคคลดังกล่าว เพราะอาจจะตกเป็นเหยื่อหรือเครื่องมือ และเกิดความเสียหายหรืออาจต้องมีคดีความเกิดขึ้นในอนาคตได้

ด้านนายพิทยา ทนายความ กล่าวว่า ในส่วนของกฎหมายเราคงต้องสืบหาข้อเท็จจริงให้มากกว่านี้ ก่อนที่จะฟันธงว่ามีลักษณะเป็นการฉ้อโกงหรือไม่อย่างไร จึงต้องอาศัย การสืบสวนจากพนักงานสอบสวน ให้ได้ข้อเท็จจริงก่อน แต่ทราบว่า ขณะนี้ทรัพย์สินถูกโอนไปที่ไหน อย่างไรบ้างนั้น พอจะทราบแล้ว รอเพียงการสืบสวนของทางเจ้าหน้าที่ตำรวจก่อน

ทั้งนี้ พนักงานสอบสวน กองปราบปราม รับเรื่องไว้ เพื่อเสนอผู้บังคับบัญชา ต่อไป