เอกชนมั่นใจทัวริสต์ปีนี้แตะ 12 ล้านคน ททท. ชง "ศบค." ไฟเขียวเพิ่มวันพักวีซ่า

เอกชนมั่นใจทัวริสต์ปีนี้แตะ 12 ล้านคน  ททท. ชง "ศบค." ไฟเขียวเพิ่มวันพักวีซ่า

สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (สทท.) ประเมินแนวโน้มและบรรยากาศการท่องเที่ยว หลังจากรัฐบาลไทยปลดล็อกมาตรการเดินทางเข้าประเทศ “เปิดประเทศเต็มรูปแบบ” โดยทาง สทท. การันตี 100% ว่าจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติมาไทยปีนี้เกิน 12 ล้านคน!

ชำนาญ ศรีสวัสดิ์ ประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (สทท.) กล่าวกับ “กรุงเทพธุรกิจ” ว่า จากแนวโน้มมีนักท่องเที่ยวต่างชาติมาไทย 12 ล้านคนในปีนี้ ถือเป็น “จุดสมดุล” ของภาคการท่องเที่ยวไทยที่ต้องได้จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติอย่างน้อย 30-40% ของฐาน 40 ล้านคนเมื่อปี 2562 ก่อนเกิดวิกฤติโควิด-19 หรือคิดเป็น 12-16 ล้านคนเท่านั้น ถึงจะทำให้ผู้ประกอบการท่องเที่ยวอยู่รอด ได้จุดคุ้มทุน!

“จากที่ประเมินแนวโน้มในตอนนี้ เราเห็นมู้ดแอนด์โทนการฟื้นตัวที่ดีของภาคท่องเที่ยวไทย มั่นใจว่าปี 2565 มีนักท่องเที่ยวต่างชาติถึง 12 ล้านคนแน่นอน มากกว่าเป้าหมาย 10 ล้านคนที่ภาครัฐตั้งไว้ หลังจากช่วงครึ่งปีแรก มีนักท่องเที่ยวต่างชาติ 2 ล้านกว่าคน เฉพาะเดือน ก.ค.ที่ผ่านมา มี 1 ล้านกว่าคน และคาดการณ์ว่าเดือน ส.ค.-ก.ย.นี้ จะมีมากกว่า 1 ล้านคนต่อเดือน ขณะที่ไตรมาส 4 เดือน ต.ค.-ธ.ค. ซึ่งเข้าสู่ช่วงฤดูกาลท่องเที่ยว (ไฮซีซั่น) คาดมีไม่น้อยกว่า 2 ล้านคนต่อเดือน”

อย่างไรก็ตาม ในฐานะตัวแทนภาคเอกชนท่องเที่ยวยืนยันว่ายังต้องการงบประมาณโครงการ “เราฟื้นด้วยกัน” ภายใต้มาตรการ “บูสเตอร์ช็อต” (Booster Shot) หรือฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นแก่ภาคท่องเที่ยว ส่งเสริมให้สายการบินเพิ่มความถี่เที่ยวบินทั้งเส้นทางในประเทศและระหว่างประเทศ

พิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา บอกว่า กระทรวงการท่องเที่ยวฯยังคงเดินหน้าเสนอของบประมาณจากรัฐบาล ภายใต้มาตรการ “บูสเตอร์ช็อต” กระตุ้นภาคการท่องเที่ยวและกีฬา วงเงินรวมประมาณ 2,000 ล้านบาท แบ่งออกเป็นกระตุ้นภาคการท่องเที่ยวประมาณ 1,000 ล้านบาท และกระตุ้นการท่องเที่ยวเชิงกีฬา (Sport Tourism) อีก 1,000 ล้านบาท

สำหรับงบประมาณบูสเตอร์ช็อตกระตุ้นการท่องเที่ยวเชิงกีฬา ได้หารือกับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และประธานคณะกรรมการกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติแล้ว ขณะนี้รอผู้จัดการกองทุนฯพิจารณางบดุลว่า ในปี 2566 จะมีเงินสะสมเหลือเพียงพอหรือไม่สำหรับการนำมาใช้กระตุ้นการท่องเที่ยวเชิงกีฬา

“ส่วนตัวเชื่อว่ากองทุนดังกล่าวน่าจะมีเงินเหลือ แต่ต้องรอให้ผู้จัดการกองทุนฯทำงบดุลมาเพื่อหารือกัน จากนั้นจะนำเสนอให้คณะกรรมการกองทุนฯพิจารณาต่อไป โดยคาดว่าต้องใช้เงินจากปีงบประมาณ 2566 หรือเริ่มใช้ได้ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.2565 เป็นต้นไป”

ส่วนการของบประมาณบูสเตอร์ช็อตกระตุ้นภาคท่องเที่ยว ทางการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ได้ส่งแผนไปยังสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) แล้ว และรอการเสนอให้ที่ประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์เศรษฐกิจ (ศบศ.) พิจารณา เพื่อผลักดันให้ได้นักท่องเที่ยวต่างชาติถึงเป้าหมาย 10 ล้านคนในปีนี้ และกระตุ้นนักท่องเที่ยวไทยออกเดินทางให้ได้ 160 ล้านคน-ครั้ง หนุนการสร้างรายได้รวมจากทั้งตลาดในและต่างประเทศที่ 1.2 ล้านล้านบาท

“ประเมินว่าตลอดปีนี้ เป้าหมายรายได้รวมที่ตั้งไว้ 1.5 ล้านล้านบาทนั้นน่าจะลำบาก คาดว่าจะมีรายได้รวม 1.2-1.25 ล้านล้านบาท”

ยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กล่าวว่า จากสถิตินักท่องเที่ยวต่างชาติมาไทย สะสมตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. - 15 ส.ค.ที่ผ่านมา มีจำนวน 3,977,634 คน จากยอดการเดินทางเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ประมาณ 35,000-40,000 คนต่อวัน ททท.จึงคาดการณ์ว่า ณ วันที่ 31 ส.ค.นี้ มีลุ้นเห็นตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามาเที่ยวไทยแตะ 4.5 ล้านคน ส่วนการเดินทางท่องเที่ยวภายในประเทศ ขณะนี้เห็นการฟื้นตัวที่ดีขึ้นต่อเนื่อง โดยพบว่ามีการเดินทางของนักท่องเที่ยวไทยสะสมอยู่ที่ 60 ล้านคน-ครั้ง ในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้

และในวันที่ 19 ส.ค.นี้ ททท.จะเสนอให้ที่ประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) พิจารณา “การขยายระยะเวลาพำนักวีซ่า” เพื่ออำนวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยแบ่งเป็น

1.ฟรีวีซ่า ผ.30 หรือ ผู้ถือหนังสือเดินทางที่ได้รับการยกเว้นการตรวจลงตรา (วีซ่า) ในการเข้าประเทศเพื่อการท่องเที่ยว เป็นระยะเวลาสูงสุดไม่เกิน 30 วัน (ปัจจุบันมี 56 ประเทศ) จะเสนอให้ปรับเป็น ผ.45 มีระยะเวลาพำนักสูงสุดไม่เกิน 45 วัน

2.วีซ่าหน้าด่าน หรือ Visa on Arrival (VoA) จะเสนอให้ขยายระยะเวลาจากไม่เกิน 15 วัน เป็นสูงสุดไม่เกิน 30 วัน

รวมถึงเสนอให้ยกเลิกการกรอกใบ ตม.6 สำหรับการเดินทางทางบก (รถยนต์ รถไฟ) เฉพาะด่านข้ามพรมแดนระหว่างไทยกับ สปป.ลาว และมาเลเซีย เพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวเพิ่มเติม เนื่องจากขณะนี้พบว่า นักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าไทย 5 อันดับแรก คือ 1.มาเลเซีย 2.อินเดีย 3.สปป.ลาว 4.สิงคโปร์ และ 5.สหราชอาณาจักร โดยตัวเลขนักท่องเที่ยวจากประเทศเพื่อนบ้าน ทั้งมาเลเซียและ สปป.ลาว เข้ามาเที่ยวไทยเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ สะท้อนถึงความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศที่มีการฟื้นฟูกลับมาอีกครั้ง

เอกชนมั่นใจทัวริสต์ปีนี้แตะ 12 ล้านคน  ททท. ชง \"ศบค.\" ไฟเขียวเพิ่มวันพักวีซ่า

ด้านแนวโน้มตลาด “นักท่องเที่ยวจีน” ขณะนี้ ททท.ยังมองโลกในแง่ดีว่าน่าจะมีโอกาสเห็นการกลับมาเที่ยวประเทศไทยในสิ้นปีนี้ ไม่ต้องรอถึงปี 2566 หลังเห็นรัฐบาลจีนผ่อนคลายมาตรการควบคุมการระบาดโควิด-19 มากขึ้น อาทิ ผ่อนคลายกฎเหล็ก ยืดหยุ่นเรื่องการพบผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในเที่ยวบิน โดยนับเป็นเปอร์เซ็นต์แทน จากเดิมที่กำหนดไว้ว่าต้องไม่มีการพบผู้ติดเชื้อเลย รวมถึงอนุญาตให้เพิ่มจำนวนเที่ยวบินเข้าประเทศจีนมากขึ้น

นอกจากนี้ รัฐบาลจีนเริ่มกระจายอำนาจให้รัฐบาลท้องถิ่นของแต่ละมณฑลพิจารณาการเดินทางออกนอกประเทศของคนในเมืองนั้นๆ จากเดิมที่อนุญาตเฉพาะผู้ที่มีความจำเป็นจริงๆ ได้แก่ นักธุรกิจ และนักเรียนนักศึกษา ซึ่งสำนักงาน ททท.ในจีน ก็ได้รับการสอบถามอย่างต่อเนื่อง ถึงการเดินทางเข้ามาเที่ยวไทยอีกครั้ง

ทั้งนี้ ททท.ประเมินแนวโน้ม “อัตราดอกเบี้ย” ที่เพิ่มขึ้นทั่วโลกด้วยว่า ไม่ส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจเดินทางท่องเที่ยว โดยช่วง 6 เดือนหลังจากนี้ ททท.จะไม่ลดเป้าหมายนักท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศ เพราะอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น แม้จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ ต้นทุนการท่องเที่ยว แต่จากการสำรวจสินค้าการท่องเที่ยวเป็นสินค้าที่มีความยืดหยุ่นต่ำ หรือไม่ค่อยกระทบต่อต้นทุน หากนักท่องเที่ยวตัดสินใจเดินทางแล้ว ส่วนใหญ่ก็ยังจะเดินทางต่อแต่ไปลดค่าใช้จ่ายต่อหัว ค่าซื้อของฝาก

สิ่งที่ต้องจับตามองและอาจกระทบต่อการตัดสินใจและมีน้ำหนักมากกว่าเรื่องอัตราดอกเบี้ย คือราคาน้ำมันที่สูงขึ้น” ผู้ว่าการ ททท.กล่าว