ซีอาร์ซีทุ่มลงทุน 1.5 แสนล. รั้งผู้นำออมนิรีเทลเอเชีย

ซีอาร์ซีทุ่มลงทุน 1.5 แสนล. รั้งผู้นำออมนิรีเทลเอเชีย

ยักษ์ใหญ่เซ็นทรัลรีเทล โหมลงทุนหนัก “ไทย-เวียดนาม-อิตาลี” เร่งโต รับกำลังซื้อ-เศรษฐกิจฟื้น นักท่องเที่ยวจีนใช้จ่ายพุ่ง 5-10 เท่า ดันค้าปลีกปีนี้ขยายตัว 6-8% กางแผน 5 ปี อัดฉีด 1.5 แสนล้าน ดันมาร์เก็ตแคปพุ่ง 2.5 เท่า ขึ้นเบอร์ 1  “เน็กซ์-เจน ออมนิ รีเทลเลอร์” เอเชีย

สัญญาณบวกจากการเปิดประเทศ ภาวะเศรษฐกิจและกำลังซื้อปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ภาคธุรกิจพร้อมเคลื่อนทัพเต็มสูบอีกครั้ง บิ๊กคอร์ป “เซ็นทรัล รีเทล” ประกาศเกมรุกขยายอาณาจักรในตลาดหลักทั้งไทย เวียดนาม และอิตาลี เพื่อเร่งการเติบโตอย่างก้าวกระโดด

นายญนน์ โภคทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ CRC กล่าวว่า ภาพรวมแนวโน้มตลาดค้าปลีกประเทศไทยในปี 2566 คาดว่าจะมีการขยายตัว 6-8% โดยได้รับผลดีจากกำลังซื้อในประเทศปรับตัวดีขึ้น ภายใต้นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ และการเปิดประเทศที่มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาในประเทศไทยมากขึ้น โดยเฉพาะล่าสุดการเปิดให้มีการเดินทางของกรุ๊ปทัวร์นักท่องเที่ยวจีนนั้น ส่งผลดีต่อทั้งเศรษฐกิจและตลาดค้าปลีกไทย โดยกลุ่มนักท่องเที่ยวจีนจะมีการใช้จ่ายเพิ่มขึ้น 5-10 เท่า

"ภาพรวมเศรษฐกิจโลกดีมากกว่าที่คิด ปีนี้คาดว่าจะขยายตัว 2.9% เศรษฐกิจไทยน่าจะเติบโต 3.2% และมีโอกาสเติบโตต่อเนื่อง จากพื้นฐานที่แข็งแกร่ง ขณะที่ประเทศเวียดนามและอิตาลี ซึ่งกลุ่มเซ็นทรัลมีการลงทุนขนาดใหญ่ใน 2 ประเทศนี้ มีความแข็งแกร่งเช่นกัน  มองในภาพรวมสถานการณ์ดีกว่าช่วงโควิดแล้ว”

สำหรับตลาดในประเทศ บรรยากาศใช้จ่ายคึกคักขึ้นจากนโยบายช้อปดีมีคืนของรัฐบาล ระหว่างวันที่ 1 ม.ค.-15 ก.พ. นับเป็นแรงกระตุ้นที่ดี ได้ส่งผลต่อภาพรวมธุรกิจค้าปลีกของประเทศไทย ขยายตัว 2-3% ในช่วงไตรมาสแรก ซึ่งอยากให้มีนโยบายนี้ต่อเนื่อง แต่ควรมุ่งในกลุ่มลูกค้าในระดับกลางและบนเป็นหลัก เพราะเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูงอยู่แล้วจะช่วยกระตุ้นตลาดได้มากทีเดียว 

ซีอาร์ซีทุ่มลงทุน 1.5 แสนล. รั้งผู้นำออมนิรีเทลเอเชีย

5 ปีเดินหน้าลงทุน 1.5 แสนล้าน

นายญนน์ กล่าวต่อว่า ในช่วง 5 ปีจากนี้ (2566-2570) เซ็นทรัลรีเทล วางงบประมาณ 1.5 แสนล้านบาทสำหรับการลงทุนต่อเนื่อง โดยปี 2566 ใช้งบลงทุน 2.8 หมื่นล้านบาท เพื่อขยายธุรกิจทั้งประเทศไทย เวียดนาม และอิตาลี  เป็นการลงทุนในประเทศไทยสัดส่วน 70-75% การลงทุนในต่างประเทศ 25%  โดยหลักเน้นตลาดเวียดนาม 

สำหรับการเคลื่อนทัพของเซ็นทรัลรีเทล วางกลยุทธ์ “CRC Retailligence” ด้วยการเร่งการเติบโตแบบก้าวกระโดดใน 5 กลุ่มธุรกิจได้แก่ กลุ่มแฟชั่น จะต่อยอดธุรกิจกลุ่มแฟชั่นให้ครอบคลุมทุกความต้องการของลูกค้า ทั้งสินค้าใหม่และแบรนด์ใหม่ และเชื่อมต่อกับแพลตฟอร์มของห้างลักชัวรีทั้งหมด เพื่อทำให้ลูกค้าสามารถชอปปิงได้ทุกเวลา โดยมีแผนเปิดสาขาเซ็นทรัล ดีพาร์ทเม้นสโตร์รวม 2 สาขา และมีแผนรีโนเวท 15 สาขาเก่า

กลุ่มฮาร์ดไลน์ จะขยายสาขาใหม่ของไท วัสดุ และไทวัสดุ ไฮบริด ฟอร์แมท รวม 10 สาขา และมีแผนรีโนเวท สาขาไท วัสดุ 16 สาขา

กลุ่มฟู้ด จะขยายสาขา Tops รวม 15 สาขา และมีแผนรีโนเวทรวม 26 สาขา เพื่อร่วมผลักดันแบรนด์ Tops สู่การเป็น Food Discovery & Destination และมุ่งสู่อันดับหนึ่ง Food Omni Retailor

กลุ่มพร๊อพเพอร์ตี้ จะเร่งขยายและรีโนเวทศูนย์การค้าไลฟ์สไตล์ โดยจะเปิดโรบินสันเพิ่ม 2 สาขา และโรบินสันไลฟ์สไตล์ 1 สาขา รวมถึงการขยายธุรกิจในเวียดนาม จะมีการก่อสร้างศูนย์การค้า GO! สาขาใหม่ และเตรียมเปิดเพิ่ม 6-8 สาขา และจะมีการรีโนเวทรวม 10 สาขา

กลุ่มเฮลธ์แอนด์เวลเนส เป็นธุรกิจที่มีการขยายตัวต่อเนื่อง ที่มีทั้ง Tops Care และ Tops Vita จะขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง เพื่อมุ่งสู่การเป็น อันดับหนึ่ง Omni Health & Wellness Retail

ซีอาร์ซีทุ่มลงทุน 1.5 แสนล. รั้งผู้นำออมนิรีเทลเอเชีย

กลุ่มลักชัวรีบูมโอกาสเจาะตลาด

นายญนน์ กล่าวว่า แนวโน้มกำลังซื้อในปัจจุบันเริ่มกลับมาแล้ว ทั้งในประเทศไทยที่มีกำลังซื้อขยายตัวเหมือนช่วงก่อนเกิดโควิด-19 รวมถึงยอดขายสินค้าในประเทศอิตาลี ที่ผ่านมามีแนวโน้มขยายตัวได้ดี โดยเฉพาะสินค้ากลุ่มลักชัวรี แม้ว่าในประเทศจีนยังไม่มีการเปิดประเทศก็ตาม แสดงถึงโอกาสของตลาดลักชัวรี ที่มีการเติบโตมหาศาล รวมถึงในประเทศเวียดนาม ที่มีการเติบโตแบบก้าวกระโดดเช่นกัน

ทั้งนี้จากแนวโน้มธุรกิจที่ขยายตัวต่อเนื่อง จึงมีแผนต่อยอดธุรกิจใหม่ๆ และมีแผนเปิดตัวธุรกิจขนาดใหญ่เพื่อขยายธุรกิจทั้งในไทยและเวียดนาม 

เร่งปักหมุดเวียดนามรับศักยภาพโตสูง

โดยเฉพาะในประเทศเวียดนาม ที่มีการเติบโตเร็ว มีเศรษฐกิจเติบโต 1.5 เท่าของภูมิภาคอาเซียน คาดว่าในปี 2566 เศรษฐกิจของประเทศเวียดนามจะขยายตัว 6.2% และ เซ็นทรัลรีเทล ได้เข้าไปขยายการลงทุนใน 41 จังหวัดของเวียดนามแล้ว คาดว่าภายใน 5-10 ปีข้างหน้าจะมีสาขาเปิดให้บริการครอบคลุมทุกจังหวัด

สำหรับการลงทุนทางด้านเทคโนโลยีได้ให้ความสำคัญอย่างสูง ได้มุ่งการลงทุนตั้งแต่สถานการณ์โควิด-19 ที่ผ่านมา โดยในปีนี้ได้งบลงทุนด้านเทคโนโลยีและไอทีประมาณ 2,000 ล้านบาท เพื่อร่วมสร้างแพลตฟอร์มของ Next-Gen Omni Retail ของ CRC ให้มี Ecosystem ให้มีความสมบูรณ์มากขึ้น ด้วยการนำเทคโนโลยีและระบบต่างๆ ที่ดีที่สุดจากทั่วโลก มาสร้างการเติบโตให้ทั้งกับลูกค้า แบรนด์ และพาร์ทเนอร์ เพื่อร่วมมอบประสบการณ์ที่เหนือกว่าในทุกมิติให้แก่ผู้บริโภค และมุ่งสู่การเป็นอันดับหนึ่ง Next-Gen Retailor ของภูมิภาคเอเชีย

เบอร์หนึ่งเน็กซ์เจนออมนิรีเทลแห่งเอเชีย

ทั้งนี้ จากการมุ่งขยาย Next-Gen Omni Retail ของ CRC อย่างต่อเนื่อง จะทำให้ในอีก 5 ปีข้างหน้า สัดส่วนยอดขายจาก Omni Channel จะเพิ่มเป็น 25% จากปัจจุบันมีสัดส่วนประมาณ 18% เป็นช่องทางที่มีการขยายตัวเพิ่มทุกปี

ทางด้านการวางกลยุทธ์ที่มุ่งสู่การเป็น The Next Sustainable Growth โดยการสร้างธุรกิจค้าปลีกให้เติบโตมั่นคง แข็งแกร่ง และยั่งยืน จะทำให้รายได้รวมของ เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น ในปี 2566 อยู่ที่ 2.7 แสนล้านบาท เติบโต 15% จากปีก่อน พร้อมกันนี้ได้ตั้งเป้าหมายว่า ในอีก 5 ปีข้างหน้า หรือในปี 2570 จะมีรายได้เพิ่มขึ้น 2.5 เท่า สามารถสร้าง EBIDA เพิ่มขึ้น 3.5 เท่า การสร้าง Market Cap เพิ่มขึ้น 2.5 เท่า

ขณะเดียวกันได้วางเป้าหมายที่จะเป็น Green & Sustainable Retail ด้วย 4 กลยุทธ์ Renew โดยในระยะสั้นจะนำพลังงานสะอาดและพลังงานหมุนเวียนมาใช้ในกลุ่ม พร็อพเพอร์ตี้ ให้ได้ 30% การลดปริมาณขยะสู่หลุมฝังกลบให้ได้ 10% ลดการใช้น้ำ 10% เพิ่มการจำหน่ายสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม 20% ของสินค้าทั้งหมด เพิ่มพื้นที่ปลูกป่าอีก 5,000 ไร่ ทั้งหมดจะมุ่งไปสู่เป้าหมายการลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้เป็นศูนย์ (Net Zero) ในปี 2593 องค์กรค้าปลีกต้นแบบด้านความยั่งยืน