TDRI ชี้ภาษีหุ้นฉุดตลาดไทยซบ ฟังมุมมอง นณริฏ พิศลยบุตร

โดยผลกระทบที่เกิดขึ้นกระทบกับกลุ่มคนที่พยายามต่อสู้เอาตัวรอดในการสร้างรายได้เพิ่ม ท่ามกลางวิกฤตเศรษฐกิจในปัจจุบัน ทำให้ประเทศไทยในตอนนี้มีความบิดเบี้ยวอยู่

นายนณริฏ พิศลยบุตร นักวิชาการอาวุโส สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) เปิดเผยว่า จากกรณีการเก็บภาษีขายหุ้นตามกำหนดจะเริ่มในเดือนเมษายน 2566 หากไปพิจารณาจากเกณฑ์การเก็บในหลายประเทศทั่วโลกที่มีเหมือนกันนั้นก็อาจสอดคล้องกัน อาทิ อังกฤษ มาเลเซีย สิงคโปร์ เพราะเก็บในอัตราที่ไม่ได้แตกต่างกันมากนัก แต่ผลกระทบที่เกิดขึ้นจะทำให้ตลาดหุ้นไทยเงียบเหงาลง ซึ่งเมื่อตลาดเงียบเหงาก็ส่งผลกระทบต่อธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องด้วย อาทิ บริษัทหลักทรัพย์ ที่หากมีปริมาณการซื้อขายลดลง โบรกเกอร์ก็จะเสียรายได้ค่าธรรมเนียมไป กระทบธุรกิจตรงกลางพอสมควร โดยสาเหตุที่ไม่เห็นด้วยกับการเก็บภาษีตรงนี้ แม้เป็นการเก็บในอัตราที่ไม่มากนัก พิจารณาจาก 0.1% จะสร้างรายได้จากภาษี 10,000-20,000 ล้านบาทเท่านั้น เทียบกับมูลค่าตลาดกว่า 20 ล้านล้านบาท โดยผลกระทบที่เกิดขึ้นกระทบกับกลุ่มคนที่พยายามต่อสู้เอาตัวรอดในการสร้างรายได้เพิ่ม ท่ามกลางวิกฤตเศรษฐกิจในปัจจุบัน ทำให้ประเทศไทยในตอนนี้มีความบิดเบี้ยวอยู่

นายนณริฏกล่าวว่า โจทย์ของภาครัฐหากต้องการได้ภาษี 10,000-20,000 ล้านบาท มองว่าควรไปเก็บภาษีที่ดิน หรือคนที่มีรายได้สูง แต่ไม่ยอมเสีย อาทิ ธุรกิจค้าขายออนไลน์ อินฟลูเอนเซอร์บางกลุ่ม และร้านอาหารขนาดใหญ่บางราย กลุ่มคนที่เสียภาษีก็ชื่นชม แต่กลุ่มคนที่พยายามหลีกเลี่ยงภาษีก็ต้องพยายามตามเก็บให้ได้ โดยเฉพาะภาษีที่ดิน เนื่องจากทุกคนรู้ว่าในประเทศไทยผู้มีสิทธิถือครองที่ดินมีเพียง 20% เท่านั้น ที่อยู่บนยอดหอคอย แต่คนส่วนใหญ่อีก 80% ไม่มีที่ดิน ทำให้ต้องเริ่มเก็บภาษีจากคน 20% นี้ก่อน เนื่องจากคนที่ซื้อขายจริงๆ เป็นกลุ่มคนระดับกลางที่อยากรวย อยากมีรายได้เพิ่ม แต่ไม่สามารถไปทำธุรกิจใหม่ได้ ไม่สามารถแข่งขันกับผู้เล่นที่จองตลาดไว้หมดแล้ว ทำให้การดึงเม็ดเงินออกจากระบบ 10,000-20,000 ล้านบาท แทนที่เงินจำนวนนี้จะตอบแทนกับนักลงทุน ก็กลายเป็นของภาครัฐแทน

นายนณริฏกล่าวว่า ปัจจุบันตลาดหุ้นเชื่อมโยงกันทั่วโลกแล้ว ทำให้หากนักลงทุนต้องการซื้อขายก็จะเร่งให้นักลงทุนไปเล่นในต่างประเทศมากขึ้น เพราะภาษีหุ้นไทยแพง และผลิตภัณฑ์ไม่น่าสนใจ โดยรัฐบาลอาจบอกว่าเก็บเท่ากับต่างประเทศ แต่ถามต่อว่าบริษัทในตลาดหุ้นไทยมีความน่าสนใจเท่าต่างประเทศหรือไม่ มีบริษัทใหญ่ๆ ในโลกเท่ากันหรือไม่ หากมีก็โอเคที่จะเก็บ แต่ตอนนี้ไม่ใช่ ทำให้ตลาดหุ้นไทยที่เซ็กซี่สู้ต่างชาติไม่ได้ แล้วจะไปเก็บเทียบเขาได้อย่างไร

“ผลกระทบอาจไม่มาก แต่เป็นผลกระทบที่เกิดขึ้นแบบไม่สมควร เพราะแทนที่จะไปเก็บภาษีจากส่วนที่ควรเก็บ แต่กลับไม่ทำ อาทิ การออกช้อปดีมีคืนมาเพื่อกระตุ้นการใช้จ่าย ซึ่งคนที่ได้ประโยชน์เป็นคนที่มีฐานภาษีสูง หมายถึงคนมีเงินมากเป็นหลัก โดยประมาณการว่าจะใช้เงินเป็นหมื่นล้านบาท ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าแทนที่รัฐบาลจะปกป้องคนระดับกลาง แต่กลับไปช่วยคนระดับบนแทน การที่ให้เหตุผลถึงความเท่าเทียมกัน และการลดความเหลื่อมล้ำนั้น การเก็บภาษีนักลงทุนที่เล่นเอง แต่ยกเว้นกองทุนบางกลุ่มนั้นก็เท่ากับเกิดความเหลื่อมล้ำอยู่ดี” นายนณริฏกล่าว

ทั้งนี้ มองว่านักลงทุนระยะสั้นมีข้อดีต่อตลาดหุ้น คือทำให้มีแรงซื้อรอไว้ หากนักลงทุนระยะยาวต้องการขายเพื่อนำเงินไปใช้แบบฉุกเฉินก็จะมีคำสั่งซื้อของนักลงทุนระยะสั้นรออยู่ เพื่อไม่ให้ตลาดเงียบเหงาด้วย เพราะหากตลาดมีแต่คนถือระยะยาวอย่างเดียว ในตอนที่จำเป็นต้องขายแล้วจะขายให้ใคร จึงมีคุณค่าของตัวเองอยู่