ไทยออยล์ ทรานสฟอร์มรุกธุรกิจแห่งอนาคต สร้าง New S-Curve สู่ธุรกิจพลังงานที่ยั่งยืน

ไทยออยล์ ทรานสฟอร์มรุกธุรกิจแห่งอนาคต สร้าง New S-Curve สู่ธุรกิจพลังงานที่ยั่งยืน

ไทยออยล์ เปิดโรดแมปทรานส์ฟอร์มองค์กร มุ่งสู่การเป็นบริษัทพลังงานและเคมีภัณฑ์ที่ยั่งยืน ด้วยการแสวงหาโอกาสในธุรกิจใหม่ (New S-Curve) โดยโฟกัสใน 2 กลุ่มธุรกิจแห่งอนาคต อย่าง Bio Technology และ New Energy & Mobility

จากกระแสการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emissions) เพื่อรับมือกับภาวะ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หรือ Climate Change ที่มีโอกาสเกิดสูงขึ้น ตลอดจนความต้องการใช้พลังงานที่เปลี่ยนไปในอนาคต ทำให้ “ความยั่งยืน” กลายเป็นหมุดหมายสำคัญที่ภาคธุรกิจต้องไปให้ถึง โดยเฉพาะธุรกิจพลังงานที่ถูกท้าทายจากเป้าหมายการเติบโตของธุรกิจที่ต้องสอดคล้องกับความยั่งยืนในเวลาเดียวกัน 

เช่นเดียวกับ บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ “TOP” ที่เตรียมพร้อมทรานส์ฟอร์มธุรกิจครั้งสำคัญ โดยมีเป้าหมายแสวงหาโอกาสในธุรกิจใหม่ (New S-Curve) เพื่อเพิ่มความหลากหลายของพอร์ตธุรกิจ ลดความผันผวนจากอุตสาหกรรมพลังงาน และสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน สอดคล้องกับแนวโน้มอุตสาหกรรมและการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการใช้พลังงานในอนาคต

ไทยออยล์ ดำเนินงานภายใต้วิสัยทัศน์ “สร้างสรรค์คุณภาพชีวิต ด้วยพลังงานและเคมีภัณฑ์ที่ยั่งยืน” เพื่อให้สอดคล้องกับแนวโน้มอุตสาหกรรมพลังงานที่กำลังเข้าสู่ช่วงการเปลี่ยนผ่าน Energy Transition ไปสู่การใช้ พลังงานสะอาด และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น

โดย ไทยออยล์ มีกลยุทธ์ในการต่อยอดจากฐานธุรกิจหลักที่มั่นคง หรือ Building on Our Strong Foundation เช่น ธุรกิจโรงกลั่นน้ำมัน ธุรกิจอะโรเมติกส์ และธุรกิจโอเลฟินส์ ไปสู่ความหลากหลายทางธุรกิจเพิ่มเติม ด้วยการมองหา “New S-Curve” หรือกลุ่มอุตสาหกรรมอนาคต ได้แก่ ผลิตภัณฑ์มูลค่าสูง หรือ High Value Products (HVP) ธุรกิจที่มีมูลค่าสูง หรือ High Value Business (HVB) ธุรกิจไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน การขยายตลาดสู่ระดับภูมิภาค จนถึงการลงทุนธุรกิจใหม่ๆ เพื่อก้าวสู่การเป็นบริษัทพลังงานและเคมีภัณฑ์ที่ยั่งยืน

โดยในปี 2030 สัดส่วนกำไรของไทยออยล์ตั้งเป้ากำไรจากธุรกิจปิโตรเลียม 40% ธุรกิจปิโตรเคมีและผลิตภัณฑ์มูลค่าสูง 40% ธุรกิจไฟฟ้า 10% และธุรกิจ New S-Curve อีก 10%

  • กลยุทธ์ไทยออยล์สู่ธุรกิจพลังงานที่ยั่งยืน

ไทยออยล์ มุ่งสร้าง New S-Curve จากธุรกิจแห่งอนาคตผ่านแผนกลยุทธ์สำคัญ ได้แก่

1. Step Out Business : มุ่งเน้นลงทุนในธุรกิจใหม่ผ่านการร่วมทุน (Joint Venture : JV) และการควบรวมกิจการ (M&A) ในธุรกิจที่มีศักยภาพ สร้างโอกาสเติบโตสูง และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยอยู่ระหว่างการศึกษาหลายโครงการ เช่น โครงการผลิตน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานชีวภาพ (Bio-Jet), โครงการชีวเคมี (Biochemicals), โครงการผลิตพลาสติกชีวภาพ (Bioplastics), โครงการผลิต “ไฮโดรเจนสีเขียว” ความบริสุทธิ์สูง (Green Hydrogen) และเทคโนโลยีการดักจับ การใช้ประโยชน์และกักเก็บคาร์บอน (Carbon Capture, Utilization and Storage : CCUS)

2. จัดตั้งบริษัท ท็อป เวนเจอร์ส จำกัด (TOP Ventures) ซึ่งเป็น CVC (Corporate Venture Capital) ของ ไทยออยล์ เพื่อลงทุนใน Venture Capital (VC) และ Start-Up ที่น่าสนใจทั่วโลก โดยลงทุนภายใต้กรอบ 3 กลุ่มธุรกิจหลัก คือ

  1. Manufacturing Tech หรือ Start-Up ที่มี technology สนับสนุนประสิทธิภาพในกระบวนการอุตสาหกรรม เช่น Hardware, Software, Sensor และ worker augmentation ต่างๆ
  2. Sustainability Tech หรือ Start-Up ที่ต่อยอดผลิตภัณฑ์ของกลุ่ม Thaioil ไปในฝั่ง sustainability มากขึ้น เช่น Green chemical, specialties, circular economy รวมไปถึง health care อีกด้วย
  3. Hydrocarbon Disruption Tech หรือ Start-Up ซึ่งเกี่ยวข้องกับการลดการใช้พลังงานและผลิตภัณฑ์ Hydrocarbon เช่น กลุ่ม Mobility, New energy เช่น Hydrogen

โดยปัจจุบันบริษัทฯ ลงทุนใน Start-Up จำนวน 5 บริษัท ได้แก่

  1. บริษัท UnaBiz ผู้ออกแบบและให้บริการครบวงจรสำหรับผลิตภัณฑ์ Internet of Things (IoT) 
  2. บริษัท Versogen ผู้พัฒนาเทคโนโลยี Anion Exchange Membrane (AEM) สำหรับการผลิต Green Hydrogen 
  3. บริษัท Ground Positioning Radar (GPR) ผู้พัฒนาเทคโนโลยีระบุตำแหน่งสำหรับรถยนต์ไร้คนขับ 
  4. บริษัท Mineed ผู้พัฒนาเทคโนโลยี Detachable & Dissolvable Microneedle สำหรับการใช้งานในด้านเครื่องสำอางและยา 
  5. บริษัท Everactive ผู้พัฒนาเทคโนโลยีเซนเซอร์ที่ใช้พลังงานต่ำ ไร้สายและแบตเตอรี่ 

โดยในปี 2022 นี้ ไทยออยล์ มีเป้าหมายที่จะลงทุนผ่านบริษัท ท็อป เวนเจอร์ส จำกัด (TOP Ventures) ในบริษัท Start-Up เพิ่มเติมอีก 3-5 บริษัท เรียกได้ว่าทรานส์ฟอร์มการเดินหน้ากลยุทธ์ ทรานฟอร์มธุรกิจของไทยออยล์ในครั้งนี้ เป็นก้าวสำคัญในเส้นทางธุรกิจแห่งอนาคตที่น่าจับตา ที่นอกจากจะช่วยสร้างสร้าง New S-Curve สู่ธุรกิจพลังงานที่ยั่งยืนแล้ว และมีส่วนยกระดับอุตสาหกรรมพลังงานไทยไปอีกขั้น