พีทีจีฯ ลุยโมเดลแฟรนไชส์เร่งสปีดธุรกิจ ดันร้านกาแฟพันธุ์ไทย 5 ปี 5 พันสาขา

พีทีจีฯ ลุยโมเดลแฟรนไชส์เร่งสปีดธุรกิจ ดันร้านกาแฟพันธุ์ไทย 5 ปี 5 พันสาขา

พีทีจี เอ็นเนอร์ยี เป็นหนึ่งในยักษ์ใหญ่พลังงานที่ทำรายได้ “แสนล้านบาท” ต่อปี นอกจากน้ำมันเป็นธุรกิจหลัก บริษัทยังให้น้ำหนักในการขยายธุรกิจที่ไม่ใช้น้ำมันหรือนอนออยล์มากขึ้น เพื่อสร้างการเติบโตของรายได้

ร้าน “กาแฟพันธุ์ไทย” เป็นอีกแบรนด์ในพอร์ตโฟลิโอนอนออยล์ ซึ่งปีนี้ทำตลาดมาครบ 10 ปี และกิจการเริ่มมี “กำไร” เมื่อไตรมาส 4 ที่ผ่านมา

กาแแฟพันธุ์ไทย เดินทางมา 1 ทศวรรษ แม่ทัพใหญ่อย่าง พิทักษ์ รัชกิจประการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท พีทีจี เอ็นเนอร์ยี จำกัด(มหาชน) ฉายภาพว่า ตลอดระยะเวลา 8-9 ปี บริษัทไม่เคยทำตลาดหรือสร้างแบรนด์ร้านกาแฟเชิงรุกแต่อย่างใด แต่หลังจากได้ “กุนซือ” การตลาดอย่าง “บุณย์ญานุช บญบำรุงทรัพย์” จึงมีการปรับแผน พลิกกลยุทธ์ใหม่ เพื่อสร้างการเติบโตแบบ “ก้าวกระโดด” ใน 5 ปี

ศาสตร์เร่งโตแรก คือการขยายร้านให้แตะ 1,500 สาขาในปี 2566 โดยเน้นโมเดล “แฟรนไชส์” มากขึ้น เนื่องจากมีคนให้ความสนใจเป็นเจ้าของธุรกิจ เปิดร้านกาแฟต่อปีสูงมาก 3,000-4,000 ราย แต่มีเพียง 10% ที่ผ่านเกณฑ์ได้ลงทุน บริษัทจึงมองเป็น “โอกาส”

ทั้งนี้ การเปิดร้าน 1 สาขา ลงทุนราว 1.25 ล้านบาท ใช้เวลาก่อสร้างเพียง 2-3 เดือน ส่วนการคืนทุน “เร็ว” บริษัทยังพร้อมหนุนให้ผู้ประกอบการหลายด้าน เช่น มีทำเลรองรับ จากการเปิดสถานีบริการน้ำมัน(ปั๊ม)สามารถขยายธุรกิจควบคู่กัน รวมถึงช่วยหาสถาบันการเงินดอกเบี้ยต่ำให้ เป็นต้น

แผนดังกล่าว จะทำให้ปี 2570 บริษัทจะมีร้านกาแฟพันธุ์ไทยแตะ 4,000-5,000 สาขา จากสิ้นปี 2565 จะมีร้าน 600 สาขา

“ที่ผ่านมาเราเปิดร้านเพียง 50-60 สาขาต่อปี แต่จากนี้ไปเราจะเปิดร้านมากขึ้น เจาะทั้งทำเลนอกปั๊ม ไปสู่ย่านใจกลางธุรกิจหรือซีบีดี ย่านชุมชนที่มีผู้คนหนาแน่น แหล่งท่องเที่ยว รวมถึงบุกต่างจังหวัด 50% เพื่อให้ 1 อำเภอมีร้านมากกว่า 1 สาขา และใช้โมเดลแฟรนไชส์เป็นตัวสปีดเปิดร้าาน ส่งผลให้รายได้ในปี 2570 มาจากแฟรนไชส์ 80% จากปัจจุบันอยู่ที่ 40-45% เท่านั้น”

ส่วนภาพรวมครึ่งปี กาแฟพันธุ์ไทยสร้างยอดขาย 480 ล้านบาท เติบโตเท่าตัวเทียบช่วงเดียวกันปีก่อน การเปิดร้านเพิ่ม จะผลักดันยอดขายสิ้นปี 2565 อยู่ที่ 1,200 ล้านบาท และปีหน้าจะมียอดขายแตะ 2,400 ล้านบาท จากนั้นมองการเติบโตต่อเนื่อง 50% ทุกปี

สำหรับภาพรวมตลาดกาแฟนอกบ้านมีมูลค่า 27,000 ล้านบาท อัตราการเติบโต 10% ต่อปี จากปัจจัยคนไทยยังบริโภคกาแฟต่ำเพียง 300 แก้วต่อคนต่อปี เทียบกับประเทศญี่ปุ่นอยู่ที่ 400 แก้วต่อคนต่อปี ยุโรป 1,000 แก้วต่อคนต่อปี ขณะที่แนวโน้มตลาดปี 2565 คาดการณ์มูลค่าแตะ 28,000-29,000 ล้านบาท

“เราใช้เวลาเกือบ 10 ปี สร้างรากฐานร้านกาแฟให้แกร่ง และเริ่มทำกำไรปีก่อน จากนี้ไปเราอยากให้ผู้ประกอบการเห็นแบรนด์กาแฟพันธุ์ไทยมีความเซ็กซี่น่าสนใจ”

ปัจจุบันร้านกาแฟพันธุ์ไทยมีสาขา รายได้ และการรับรู้แบรนด์(Brand Awareness)ติดกลุ่มผู้นำหรือท็อป 4 ของตลาด ที่ประกอบด้วยบิ๊กแบรนด์ คาเฟ่อเมซอน สตาร์บัคส์ อินทนิล

บุณย์ญานุช บญบำรุงทรัพย์ ที่ปรึกษาด้านการสร้างแบรนด์ กาแฟพันธุ์ไทย กล่าวว่า ภารกิจสำคัญคือการสร้างแบรนด์กาแฟพันธุ์ไทย เริ่มจากปรับแผนการตลาดด้วยการวางเป้าหมายระยะยาว 3-5 ปี ซึ่งตั้งต้นจากวิชั่น “พิทักษ์” เพิ่มทีมวิจัยและพัฒนาสินค้า(R&D)เพิ่มทักษะทีมงานการตลาด และจะทำการตลาดเชิงรุกเพื่อให้แบรนด์เข้าถึงผู้คนในวงกว้างมากขึ้น ลุยแคมเปญสร้างสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้า(Loyalty) ต่อยอดบัตรสมาชิกแม็กซ์การ์ด และแม็กซ์การ์ด พลัส ซึ่งปัจจุบันมีสมาชิกรวม 18.5 ล้านราย สิ้นปีจะมี 19 ล้านราย เป็นต้น

นอกจากนี้ จะเห็นการขยายพอร์ตสินค้าภายในร้านไปสู่สินค้าที่ไม่ใช่กาแฟหรือนอนคอฟฟี่มากขึ้น เช่น มีการนำขนมหวาน สินค้าท้องถิ่นมาจำหน่ายมากขึ้น รวมถึงโปรโมทเครื่องดื่มอื่น เพื่อให้สามารถจำหน่ายสินค้าได้ต่อเนื่องตลอดวัน เพราะการบริโภคกาแฟ อาจมีข้อจำกัดปริมาณแก้วต่อวัน ซึ่งในอนาคตตั้งเป้านอนคอฟฟี่ทำเงิน 20% จากปัจจุบันกาแฟทำรายได้หลัก 90-95% 

“ไมล์สโตนแรกในการสร้างแบรนด์กาแฟพันธุ์ไทยต้องท้าทายทีมงานมากขึ้น จากที่ผ่านมามีของดี รากฐานธุรกิจแกร่งแต่ยังไม่ได้ปล่อยของสู่ตลาด ขณะที่การบริโภคกาแฟถือเป็นว้าว!โมเมนต์ หากสร้างการรับรู้แบรนด์ สร้างเอนเกจเมนต์ กระตุ้นให้ทดลอง นำไปสู่การซื้อซ้ำ แล้วผู้บริโภคเป็นกระบอกเสียงให้แบรนด์ต่อไป สุดท้ายจะสร้างแบรนด์ให้เป็นที่รักในกลุ่มเป้าหมาย สร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน”