“สมคิด” ซัดการเมืองถ่วงประเทศพัฒนา หวั่นกลุ่มทุนครอบงำ

“สมคิด” ซัดการเมืองถ่วงประเทศพัฒนา หวั่นกลุ่มทุนครอบงำ

"สมคิด จาตุศรีพิทักษ์" หวั่นปัญหา "กลไกการเมืองประชาธิปไตย" ทั้งทุจริตคอร์รัปชันสูง-กลุ่มทุนครอบงำ ถ่วงประเทศพัฒนาในอนาคต ชี้ "การโหวต และการเลือกตั้ง" คือ อาวุธสำคัญสร้างทางออกของประเทศเดินหน้าต่อได้

นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ อดีตรองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายเศรษฐกิจ  กล่าวในพิธีเปิดหลักสูตร WEALTH OF WISDOM: WOW#1  จัดโดย "กรุงเทพธุรกิจ" ร่วมกับ ฐานเศรษฐกิจ และพันธมิตร ว่า สถานการณ์ปัจจุบันทั้งเศรษฐกิจและการเมือง ไม่คิดว่าจะหนักขนาดนี้และอนาคตก็ยังจินตนาการไม่ออกอย่างไร อะไรทำให้แก้ไขปัญหาไม่ได้ คือ ต้องมีการแก้กฎหมาย สิ่งที่ล้าสมัย  มีการขับเคลื่อนการแก้กฎหมายในสภาฯ เพื่อเปลี่ยนแปลงประเทศให้ทันสมัยขึ้นมา 

แน่นอนว่า “การเมืองไทย” ซีเรียสและเห็นปัญหาเหล่านี้หรือไม่ เพราะจริงๆแล้วเรายังไปไม่ได้เท่าไหร่ ตอนนี้เราโชคดีที่พื้นฐานยังมีศักยภาพ สะสมเอาไว้นาน แต่เราต้องรีบ เเวลากำลังจะเหลือน้อยลงไปทุกที หากเรายังปล่อยการเมืองให้เป็นเช่นแบบนี้   

“การเมืองไทย” ก็เป็นเช่นนี้ ความพร้อมและความเข้าใจยังมีน้อย คนยังจนอยู่  แต่ว่าเราต้องตระหนักสถานะจริงๆของประเทศอยู่ที่ไหน เรากำลังจะเผชิญกับอะไร เราต้องเตรียมตัวเราก่อน  เมื่อโลกภายนอกมันแย่ เราต้องโตจากภายใน งบประมาณต้องจัดสรร โครงสร้างองค์กรต้องดูแล นี่คือ “ภาระความรับผิดชอบของการเมือง” 

ดังนั้น ปัญหาอยู่ที่ “กลไกการเมือง” มองว่า เป็นเรื่องใหญ่มาก ทุกยุคทุกสมัย ทุกรัฐบาลต้องเตรียมแต่การเลือกตั้ง  จะรีฟอร์มอะไรก็ยากลำบาก แล้ว เราจะไปได้อีกซักกี่น้ำ ความสามารถของประเทศตกลงมาเรื่อยๆ ตามลำดับ

“สมคิด” ซัดการเมืองถ่วงประเทศพัฒนา หวั่นกลุ่มทุนครอบงำ

“ ถ้าเราไม่เปลี่ยนแปลง โครงสร้างเศรษฐกิจ วิธีการบริการจัดการประเทศ  ทุกย่างยังรวมศูนย์ ไม่กระจาย ไม่เน้นเทคโนโลยี ไม่เน้นความรู้ และยังมีการทุจริตคอร์รัปชันสูงขนาดนี้  ทำนายเลยว่าอนาคตประเทศไทยอะไรจะเกิดขึ้แน่นอน คือเศรษฐกิจไทยจะเป็นเศรษฐกิจที่ไม่ค่อยมีแรง คลานไปเรื่อยๆ"

นายสมคิด กล่าวว่า ที่เห็นชัดๆ คือ การเมืองประชาธิปไตย ถ้ายังเป็นอย่างนี้ยังใช้เงินในการซื้อส.ส.อย่างนี้ ไม่รู้ว่าเงินไปมีอำนาจตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไรและรุนแรงขึ้นมามากถึงขนาดนี้ได้อย่างไร 

สุดท้ายมันไม่ใช่ประชาธิปไตยแต่เป็นคณาธิปไตย คนไม่กี่กลุ่มสามารถใช้ประชาธิปไตยให้เกิดประโยชน์ และจะมีผู้ที่มีอำนาจอยู่ข้างในและมีนักธุรกิจ สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นและทำให้ทิศทางการเมืองไทยไปสู่ทิศทางที่ไม่ใช่ในเชิงพัฒนาประเทศ 

ทุกฝ่ายต้องร่วมกัน ไม่ใช่แค่นายกฯมีหรือเปล่าไม่รู้ ตกลงใครเป็นนายกฯใครจะเป็นนายกฯกันแน่ ใครจะเป็นคนนำ ชี้ทิศทางประเทศ ใครจะเป็นคนเตรียมการ  ภายใต้ภาวการณ์อย่างนี้เหมือนเรือที่ลอยไม่รู้จะลอยไปไหน ลอยนานแล้ว มรสุมกำลังจะมาแล้วจะลอยไปไหนอย่างไร เอาให้ชัดภาวะอย่างนี้น่ากังวล

ถ้ามีปัญหาอึดอัด อย่าใช้กำลัง อย่าลงถนน เพราะการลงถนน ประชาธิปไตยลงถนนได้ ไม่ผิด แต่ทุกอย่างต้องนำไปสู่การแก้ไขระบบที่ไปในทางพัฒนาประเทศ  ที่มีปัญหาทุกวันนี้เพราะเราอยู่ในระบบแต่ระบบไม่สามารถแก้ปัญหาได้  

“อาวุธที่สำคัญที่สุดของประชาธิปไตยคือ โหวต และการเลือกตั้ง อย่ามองข้ามเรื่องโหวต และให้ประชาชนรู้จักสถานะที่แท้จริงของประเทศ ให้รู้อนาคตของลูกหลาน เวลาไม่มีแล้ว ต้องช่วยกันพัฒนา  เรื่องการเลือกตั้งในระบบนี้ก็ต้องมีการเลือกตั้ง  เอาคนที่เหมาะสมที่สุดมาบริหารประเทศจึงจะเปลี่ยนประเทศไทยได้”

"การเมือง ประชาธิปไตย ถ้ายังเป็นอย่างนี้ ยังใช้เงินในการซื้อส.ส. อย่างนี้....ผมก็ไม่รู้ว่าเงินเข้าไปมีอำนาจตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่และรุนแรงขึ้นมาได้มากขนาดนี้ได้อย่างไร สุดท้ายนี้กลายเป็นว่า ไม่ใช่ Democracy กลายเป็นคณาธิปไตย หรือ Oligarchy ซึ่งกลุ่มคนไม่กี่กลุ่มสามารถใช้ Democracy ให้เกิดประโยชน์ และก็จะมี Oligarch คือผู้ที่มีอำนาจมีประโยชน์อยู่ข้างใน และมีนักธุรกิจ ....มันจะเกิดขึ้นและ ทำหลายๆอย่างเพื่อ เพื่อ gear up ทิศทางการเมืองไทย ไปสู่ทิศทางที่ไม่ใช่เพื่อพัฒนาประเทศ.....อย่าให้ไปถึงจุดนั้น”