"ยานยนต์ไฟฟ้า"ในราคาที่เอื้อมถึง กระตุ้นดีมานด์การบริโภค

"ยานยนต์ไฟฟ้า"ในราคาที่เอื้อมถึง      กระตุ้นดีมานด์การบริโภค

รถยนต์นั่งในราคาเริ่มต้นที่ 3.6 แสนบาท ทำให้ผู้บริโภคหลายคนเริ่มให้ความสนใจ“ยานยนต์ไฟฟ้า” หรือ “EV” มากขึ้น แต่ที่มาที่ไปของราคาที่เข้าถึงได้นี้ มาจากหลายปัจจัย ทั้งการสนับสนุนของภาครัฐที่ตอบโจทย์ทางด้านภาษี และการสนับสนุนต่างๆ

ทั้งนี้ ในส่วนภาคเอกชนก็ได้สนับสนุนบริการที่เกี่ยวกับอีวีในทุกด้านจนได้รับความนิยมและเป็นที่ต้องการทางการตลาดเพิ่มขึ้นโดยสอดคล้องกับที่ สุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ รองประธานและโฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) แถลงตัวเลขประมาณการการผลิตรถยนต์ของสมาชิกกลุ่มฯว่า การผลิตยานยนต์ไฟฟ้าป้ายแดงประเภท BEV เดือนก.ค. 2565 มียานยนต์ประเภทไฟฟ้า (BEV) จดทะเบียนใหม่มีจำนวน 1,459 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนก.ค.ปีที่แล้ว 334.23 %  

ขณะที่ยานยนต์ประเภทไฟฟ้า (HEV) จดทะเบียนใหม่สะสมมีจำนวน 37,265 คัน เพิ่มขึ้น 60.91 % ยานยนต์ไฟฟ้าป้ายแดงประเภท (PHEV) จดทะเบียนใหม่มีจำนวน 775 คัน เพิ่มขึ้น 150.81 %

    อย่างไรก็ตาม แม้ภาพรวมตลาดอีวีในประเทศจะสดใส แต่พบว่า ภาคการส่งออกนั้นยังมีผลกระทบจากหลายๆปัจจัยที่ส่งผลต่อการปรับยอดผลิตเพื่อส่งออกลดลงด้วยการสงครามยูเครน-รัสเซียที่เกิดขี้นปลายเดือนก.พ. 2565 คงยืดเยื้อนาน ทำให้การขาดแคลน เซมิคอนดักเตอร์ที่มีมาตั้งแต่ต้นปีที่แล้วขาดแคลนมากขึ้นเพราะทั้งสองประเทศส่งออกรายใหญ่ก๊าซนีออนที่เป็นส่วนสำคัญส่วนหนึ่งในการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ 

ผลจากสงครามยูเครน-รัสเซีย ทำให้การส่งออกรถยนต์ไปทั้งสองประเทศลดลงกว่าสองหมื่นคัน ต่อเนื่องจากการล็อกดาวน์เซี่ยงไฮในเดือนเม.ย.-พ.ค.  2565 ทำให้ขาดแคลนชิ้นส่วนและเซมิคอนดักเตอร์เพิ่มขึ้นเพราะโรงงานผลิตเซมิคอนดักเตอร์รายใหญ่อยู่ที่เซี่ยงไฮ้ และประเทศเมียนมาประกาศห้ามนำเข้ารถยนต์เมื่อปลายเดือนก.ค. 2565 ทำให้ส่งออกรถยนต์ลดลงกว่าสองพันคันรวมถึงอัตราเงินเฟ้อที่สูงมากและการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของประเทศชั้นนำของโลกอาจทำให้กำลังซื้อของผู้บริโภคลดลงปัจจัยของการปรับยอดผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศเพิ่มขึ้น รัฐบาลผ่อนคลายมาตรการการเข้าประเทศของนักท่องเที่ยวและนักลงทุนจากต่างประเทศสะดวกขึ้น ทำให้มีนักท่องเที่ยวและนักลงทุนเดินทางเข้าประเทศหลายล้านคน 

"การส่งออกยังคงเติบโตจากปีที่แล้วที่มูลค่าส่งออกทำสถิติสูงสุด ทำให้ประชาชนมีงานทำมีรายได้เพิ่มขึ้นและรัฐบาลประกันรายได้สินค้าเกษตร 5 ชนิดและมีการกระตุ้นเศรษฐกิจเช่น เราเที่ยวด้วยกัน คนละครึ่ง การลดภาษีเงินได้นิติบุคคลด้วยการเพิ่มค่าใช้จ่ายการประชุม การจัดสัมมนาเป็นต้น" 

ถึงรถยนต์ไฟฟ้าจะเป็นที่ต้องการอย่างมากในปัจจุบันแม้จะมีการสนับสนุนจากภาครัฐและภาคเอกชนแต่เมื่อเทียบกับรถยนต์สันดาปที่ยังมีอยู่มากในท้องตลาดในปัจจุบันเมื่อเทียบสัดส่วนรถยนต์ไฟฟ้า เมื่อเทียบกับต่างประเทศถือว่าไทยยังเป็นส่วนน้อยที่เริ่มใช้รถไฟฟ้า ทั้งนี้ยังคงต้องจับตาดูทิศทางอนาคตรถยนต์ไฟฟ้าของไทยต่อไป