โบรก ชี้ "คนละครึ่งเฟส 5" เริ่มพรุ่งนี้ "หุ้น CPALL-MAKRO" รับอานิสงส์มากสุด

โบรก ชี้ "คนละครึ่งเฟส 5" เริ่มพรุ่งนี้ "หุ้น CPALL-MAKRO" รับอานิสงส์มากสุด

"บล.กสิกรไทย" ยังคงมุมมอง "คนละครึ่งเฟส 5 " เริ่มพรุ่งนี้ 1 ก.ย. นี้ ช่วยเหลือประชาชนต่อสู้และรับมือ เงินเฟ้อของไทยยังอยู่ระดับสูง และงบฯลดลง ส่งผลเชิงลบต่อ หุ้นค้าปลีกสมัยใหม่ อย่าง CPALL น้อยลงด้วย "บล.ยูโอบี เคย์เฮียน" ย้ำมีผลบวกทางอ้อม แค่ MAKRO เท่านั้น

นายกรรณ์ หทัยศรัทธา นักกลยุทธ์การลงทุน บล.กสิกรไทย กล่าวว่า  เราคงมุมมอง ที่ว่าโครงการ"คนละครึ่ง เฟส 5" ที่ถูกอนุมัตินั้น มาตรการถูกออกแบบมาเพื่อช่วยเหลือประชาชนในการต่อสู้และรับมือกับเงินเฟ้อของประเทศไทยที่อยู่ในระดับสูง มากกว่าที่จะเป็นการกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจ

ด้วยเหตุผลคือ 1) เงินทุนในพรก.โควิด-19 มีจำนวนจำกัด และ 2) ผลกระทบต่อผู้มีรายได้ปานกลางถึงต่ำนั้นรุนแรงกว่าในแง่ของเงินเฟ้อ  

เมื่อเราเปรียบเทียบโครงการ 3 ครั้งหลังสุดจะพบว่าผู้เข้าร่วมโครงการคนละครึ่งเฟส 4 และ 5 สูงขึ้น ในขณะที่จำนวนเงินลดลง


โครงการคนละครึ่ง เฟส 3:
- คนละ 3,000 บาท จำนวน 28 ล้านคน (รวม 9.3 หมื่นลบ. จากจากงบประมาณตาม พ.ร.ก.กู้เงินแก้โควิด-19 ที่ 1 ล้านลบ.)
- คนละ 1,500 บาท จำนวน 28 ล้านคน (รวม 4.2 หมื่นลบ. จากจากงบประมาณตาม พ.ร.ก.กู้เงินแก้โควิด-19 ที่ 1 ล้านลบ.) (ขยายระยะเวลาของ โครงการคนละครึ่ง เฟส 3) (เดือน พ.ย.2564 ถึง ธ.ค.2564)

โครงการคนละครึ่ง เฟส 4: 
- คนละ 1,200 บาท จำนวน 29 ล้านคน (รวม 3.48 หมื่นลบ. จากจากงบประมาณตาม พ.ร.ก.กู้เงินแก้โควิด-19 ที่ 5 แสนลบ.)

โครงการคนละครึ่ง เฟส 5: 
- คนละ 800 บาท จำนวน 26 ล้านคน (รวม 3.48 หมื่นลบ. จากจากงบประมาณตาม พ.ร.ก.กู้เงินแก้โควิด-19 ที่ 5 แสนลบ.)

เรามองว่า งบประมาณโครงการคนละครึ่งที่ลดลง จึงเป็นลบต่อ CPALL น้อยลงเช่นเดียวกัน  เนื่องจากเป็นที่ชัดเจนว่าโครงการคนละครึ่งดึงดูดการใช้จ่ายของผู้บริโภคในประเทศไปจากธุรกิจค้าปลีกสมัยใหม่ และยังมียอดขายเติบโต จากลูกค้าเข้าร้านเพิ่มขึ้น และลูกค้าที่เพิ่มขึ้นจากการฟื้นตัวของการท่องเที่ยว แนะนำ "ซื้อ" ราคาเป้าหมาย 71.70 บาท 

นายกิจพณ ไพรไพศาลกิจ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล.ยูโอบีเคย์เฮียน กล่าวว่า คนละครึ่งเฟส5 ที่มีจำนวนเงินลดลงทำให้กำลังซื้ออาจไม่ได้เพิ่มมากนัก เป็นลักษณะประคับประคองไม่ให้กำลังซื้อแย่ลงไปหรือยังมีการฟื้นตัวต่อได้  

และไม่ได้มีผลทางตรงต่อผลประกอบการ ของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) กลุ่มค้าปลีก  เพราะคนใช้สิทธิ์ซื้อสินค้าจากร้านค้าย่อยและร้านค้าโชห่วยมากกว่า ดังนั้นมองว่า มีเพียงผลทางอ้อมชัดเจนแค่ MAKROเท่านั้น ซึ่งมีการค้าส่งกระจายสินค้าให้กับร้านค้าย่อยและร้านโชห่วยที่จะมีปริมาณยอดขายสินค้าเพิ่มขึ้นจากมาตรการดังกล่าว 

อย่างไรก็ตาม ในช่วงไตรมาส 3 ปีนี้ เศรษฐกิจไทยยังไม่สามารถการบริโภคในประเทศฟื้นตัวได้อย่างชัดเจน แต่ในไตรมาส 4 ปีนี้ สามารถคาดหวังการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ จากการจ้างงานและท่องเที่ยวที่มีโอกาสปรับตัวดีขึ้น ดังนั้นในช่วงนี้ยังทยอยเข้าสะสมหุ้นกลุ่มดังกล่าวที่จะได้ประโยชน์จากปัจจัยดังกล่าวได้